ผักกาดหอม
ยัง…
ยังครับ…ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่วินิจฉัยครับ
วันนี้ (๒๑ สิงหาคม) แค่ไต่สวน
มารู้จักระบบไต่สวน (Inquisitorial System) กันหน่อย ถูกใช้ในการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
ระบบไต่สวนต่างจากระบบกล่าวหาที่ใช้อยู่ในศาลยุติธรรม
ในระบบกล่าวหานั้น คู่ความจะมีบทบาทในการนำเสนอข้อเท็จจริง ไม่ใช่บทบาทของศาล
ขณะที่ระบบไต่สวน ให้อำนาจศาลแสวงหาข้อเท็จจริงอื่นได้ เพื่อประโยชน์ของการพิจารณาคดี
ก็ไม่แปลกครับที่ใครๆ ก็อยากให้มีการถ่ายทอดสดการพิจารณาคดีคลิปเสียงแพทองธาร-ฮุน เซน เพราะในการไต่สวน จะปรากฏหลักฐาน เอกสารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะโชว์เทคนิคการเจรจาสำคัญขั้นสูงของ “แพทองธาร” ว่าจะสูงแค่ไหน ทำไมประชาชนทั้งประเทศถึงไม่มีใครเข้าใจ
อยากรู้ว่าไปร่ำเรียนวิชาการเจรจาสำคัญขั้นสูงตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหน กับใคร
เท่าที่ดูจากประวัติการศึกษาไม่มีอะไรเฉียด
สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
ช่วงเวลาที่ว่านี้ ไปฝึกงานที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาสยามดิสคัฟเวอรี
สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไปเรียนต่อที่อังกฤษ สาขาวิชา Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์รีย์
กลับมาเรียนที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคตรุ่นที่ ๑
ไม่ทราบจริงๆ ครับว่าทั้งหมดที่ว่ามา ที่ไหนสอนวิชาเทคนิคการเจรจาขั้นสูงส่ง
หรือเรียนเอาตามอินเทอร์เน็ต
หรือเป็นความสามารถเฉพาะตัว เป็นมาตั้งแต่เกิด
เรื่องนี้เป็นศาสตร์ครับ
ตามตำราบอกว่า นักเจรจาต่อรองที่มีคุณภาพ จะให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมและการเตรียมตัวอย่างละเอียดรอบคอบ รู้จุดประสงค์และผลลัพธ์ของการเจรจาต่อรอง
วางแผนและขั้นตอนการเจรจาต่อรองอย่างมีระบบ เลือกรูปแบบการเจรจาต่อรองที่เหมาะสม
ก็ไม่ทราบว่า ลูกสาวเพื่อนซี้ฮุน เซนในขณะนั้น วางแผนอย่างเป็นระบบหรือเปล่า
ที่สำคัญมีความรู้ในการเจรจาจริงหรือไม่
มีข้อมูลจากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องการเจรจา น่าสนใจดีครับ
…การต่อรองส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยผู้ชนะและผู้แพ้เสมอไป ทั้งสองฝ่ายสามารถช่วยกันหาทางออกให้เป็นผู้ชนะทั้งคู่ได้
ดังนั้นจุดสำคัญของการต่อรองลักษณะนี้คือการที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน จะต้องพูดคุยกันว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร เพราะอะไร
ต้องพยายามเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง ว่าเขาก็มีสิทธิ์ที่จะอยากได้ผลประโยชน์ที่เขาต้องการ และช่วยกันคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรจึงจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา
ตัวอย่างเช่น หากหน่วยงาน ก. ต้องการส่วนแบ่งงบประมาณมาก แต่หน่วยงาน ข. ก็ต้องการเช่นกัน เมื่องบประมาณแต่ละปีมีจำกัดก็ทำให้ต้องมีฝ่ายที่ผิดหวัง
การต่อรองแบบได้-ได้ ก็คือเมื่อหน่วยงาน ก. และ ข. มานั่งคุยกันว่าต่างจะเอางบประมาณไปทำอะไร อาจจะพบว่าต่างต้องการจะเอาไปลงทุนในสิ่งเดียวกัน ก็อาจจะสามารถร่วมมือกันและปรับข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายให้ลงตัวได้โดยไม่มีใครต้องยอมเสียผลประโยชน์
หรืออาจจะช่วยกันคิดหางบประมาณมาเพิ่ม เพื่อทั้งสองหน่วยงานจะได้ส่วนแบ่งตามต้องการ 100%
หรือหากสามีอยากไปเที่ยวภูเก็ต แต่ภรรยาอยากไปเที่ยวเชียงใหม่ ก็อาจลงเอยด้วยการหางบมาเพิ่มเพื่อให้สามารถไปเที่ยวได้ทั้งสองที่ เป็นต้น
การต่อรองแบบได้-ได้นั้น จุดสำคัญคือทั้งสองฝ่ายจะต้องเต็มใจและเปิดใจหารือกัน โดยมีเป้าหมายที่จะหาทางออกร่วมกัน
หากเราต่อรองโดยคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้าฝ่ายเราให้มากที่สุดโดยไม่นึกถึงฝ่ายเขา ก็จะไม่สามารถต่อรองแบบได้-ได้ให้ประสบความสำเร็จได้
เคล็ดลับต่อมาคือต้องให้เวลาพูดคุยกันอย่างเพียงพอ ไม่รีบร้อนหาข้อสรุป เพราะการหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ได้หากันเจอง่ายๆ
เคล็ดลับสุดท้าย คือการเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งก็คือการจัดท่านั่งท่ายืนของเราให้คล้ายกับคนที่เรากำลังต่อรองด้วยให้มากที่สุด โดยไม่ให้เขารู้ตัวว่าเรากำลังเลียนแบบเขา
การเลียนแบบนี้มักทำให้บุคคลเป้าหมายรู้สึกชอบเรา เชื่อใจเรามากขึ้น เพราะเราแสดงความเหมือนกันกับเขา
และเมื่อเขาชอบพอเรา ก็มักจะร่วมมือหารือกับเราอย่างดีในการเจรจา เทคนิคนี้จึงทั้งง่ายและได้ผลดี
ในประเด็นการต่อรองแบบได้ประโยชน์ทั้งคู่ว่าทำอย่างไรให้ได้ผลดี นอกจากคู่เจรจาต้องใจเย็นๆ และนั่งลงเปิดใจคุยกันแล้ว งานวิจัยทางจิตวิทยาสังคมยังค้นพบเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้การต่อรองแบบนี้ได้ผลดี
นักจิตวิทยายังพบเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้การเจรจาเป็นแบบได้ประโยชน์ทั้งคู่ นั่นคือการพยายามมองจากมุมของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่เราพยายามนึกให้ออกว่าคู่เจรจาของเราน่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์นี้
คิดว่าเขาน่าจะอยากได้หรือต้องการอะไรในการเจรจานี้
การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่าการเอาใจเขามาใส่ใจเรานี้จะช่วยให้เราเข้าใจเห็นใจอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น และทำให้เรารู้สึกอยากจะร่วมมือเพื่อทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ที่เขาอยากได้มากขึ้น…
ครับ…ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่การมองจากมุมมองของอีกฝ่าย
นี่อาจเป็นที่มาประโยคที่ว่า
“…ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังฝั่งคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าถ้าไปฟัง แม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย…”
“…บอกว่าให้ท่านฮุน เซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าพักนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้…”
มันคือการมองออกมาจากขั้วใจชั้นในสุด “สมเด็จวุ้นเส้น” ก็ได้
เมื่อแม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นศัตรูกับกัมพูชา ก็ต้องทำให้กัมพูชาเห็นว่า แม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นศัตรูนายกฯ ไทยด้วย
นี่คือเทคนิคการเจรจาขั้นสุดยอด พิเศษสุดบะหมี่สองก้อนเลยทีเดียว แม้นักจิตวิทยาจะบอกว่าเป็นเทคนิคง่ายๆ ก็ตามที
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ “อุ๊งอิ๊ง” เลียนแบบอย่างกลมกลืน คือเป็นลูกสาวผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอันดับ ๑ ของประเทศ
ที่เขมร “ฮุน มาเนต” มี “ฮุน เซน” ชักใย ส่วนที่ไทย “อุ๊งอิ๊ง” มี “ทักษิณ” บงการ
เหมือนราวกับลอกกันมา
๒๙ สิงหาคมรู้ครับว่า การเจรจาด้วยเทคนิคขั้นสูงสุดยอด จะรอดเพราะคำชี้แจงต่อศาลที่ใช้เทคนิคขั้นสูงหรือไม่.
