เปลว สีเงิน
เพราะทักษิณไม่โผล่หน้ามาเสือก
แพทองธาร ไม่ออกมาปั้นจิ้ม-ปั้นเจ๋อ
“กองทัพ” และ “กระทรวงต่างประเทศ” ถึงได้แสดงความเป็นมืออาชีพให้เห็น
ปฎิบัติการเนี๊ยบและคลาสสิกด้วย “ข้อเท็จจริง” ทุกขั้นตอน!
เห็นได้จากการนำคณะทูตและสื่อต่างประเทศหลายสิบสำนักลงไปศรีสะเกษ, อุบลราชธานี เมื่อวาน (๑ ส.ค.๖๘)
เพื่อไปดูให้เห็นกับตา ……
สภาพโรงพยาบาล โรงเรียน ปั๊มน้ำมัน เซเว่น ชุมชนที่เขมรยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ใส่จนพังพินาศ ไฟลุกไหม้ มีชาวบ้านครอบครัวหนึ่ง “แม่-ลูก ๔ คน” กอดกันตายคาเซเว่น
โบราณว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” และ “หนึ่งที่เห็นกับตา มีความหมายกว่าล้านคำบรรยาย”
คณะทูตและสื่อก็เช่นกัน เมื่อเห็นกับตา ทุกอย่างมันตรงข้ามที่ฝ่ายเขมรพูด
ในการบรีฟเหตุการณ์ กองทัพและกระทรวงต่างประเทศ จัดทำสไลด์ Time of escalation ละเอียดแต่สั้นกระชับถึงความเป็นมาตั้งแต่เดือนกุมภา.ถึงกรกฎา.
มีภาพความเสียหาย สถานที่ถูกทำลาย เรียกว่า “ทุกขั้นตอน” ได้นำมาประกอบการบรรยายให้คณะทูตและสื่อให้เห็นเป็นฉากๆ
คณะทูตและสื่อได้ดู ได้เห็น ได้รู้ความจริง ในความเป็นวิญญูชน เขาสามารถแยกแยะได้ทันทีว่า ควรเชื่อข้อมูลฝ่ายไหน ระหว่างไทยกับเขมร?
บางคนในคณะน้ำตาซึม โดยเฉพาะการเสียชีวิตของแม่ลูกที่ปั๊มน้ำมันและเซเว่น
ผมไม่ได้ไปกับเขาหรอก แต่ดูจากเพจ “กองทัพภาคที่ ๒” เขาโพสต์เรื่องราวและภาพครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กองทัพกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ปั๊มน้ำมันและร้านสะดวกซื้อ ที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ เมื่อ ๒๔ ก.ค.
ยืนถือภาพถ่ายผู้เสียชีวิต ๘ ราย…..
ให้คณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศดูขณะลงพื้นที่
พร้อมข้อความบรรยายว่า…….
ครอบครัวผู้สูญเสียยืนเรียกร้องความยุติธรรม ขณะที่ทูต-ทูตทหารกว่า ๓๐ ประเทศยืนมองความจริง
Thai families stood holding portraits of the dead.
While military attachés and diplomats saw the evidence with their own eyes.
หลักฐานประจักษ์กลางสายตาโลก
ทูต-ทูตทหาร ๒๓ ประเทศ เห็นกับตา “เหยื่อ BM-21” จากกัมพูชา บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ – จุดที่จรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชาตกใส่ปั๊มน้ำมัน ปตท.และร้านสะดวกซื้อกลางชุมชน
ภาพที่ชัดเจนกว่าคำพูด: ครอบครัวของผู้เสียชีวิต ๘ ราย นำกรอบรูปผู้จากไป มายืนเงียบๆ หน้าทรากความเสียหาย
เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนทางการทูตทั่วโลก
จุดเกิดเหตุ มีผู้บาดเจ็บ ๑๐ ราย รวมถึงเด็ก – พิสูจน์การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากลอย่างร้ายแรงโดยกัมพูชา
คณะลงพื้นที่:
– พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก
– พล.อ.ท.ณรัฐ บุญประเสริฐ เจ้ากรมกิจการพลเรือน ทอ.
– นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วย รมต. กต.
– เอกอัครราชทูต/อุปทูต ๑๑ ประเทศ
– ทูตทหาร ๒๓ ประเทศ
– สื่อต่างประเทศ-สื่อไทย
นี่ไม่ใช่ละคร ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ แต่คือ บาดแผลของคนไทย ที่ตายจริง บาดเจ็บจริง…
“เมื่อความตายของพลเรือนไทย กลายเป็นพยานที่โลกมองเห็น”
……………………………………
ที่ “มณฑลทหารบกที่ ๒๒ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์” กองทัพบก ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง “สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-เขมร” ให้คณะทูตและสื่อ พร้อมภาพสถานที่และเหตุการณ์ประกอบ
เท่าที่ผมสังเกตจากภาพข่าว การเตรียมงานของกองทัพและกระทรวงต่างประเทศในการนำคณะทูตและสื่อลงพื้นที่ เรียกว่าทำได้เป็นธรรมชาติ ไม่มีการเสกสรรปั้นแต่ง
ทั้งคณะ…ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามที่กองทัพและกระทรวงฯ บรรยาย ทุกคนสามารถสอบถาม ซักไซ้กับชาวบ้านได้ โดยไม่มีการกีดกัน
ดูเหมือนคณะที่ลงไปให้ความสนใจแต่ละขั้นตอนเหตุการณ์ที่เขมรทำกับพลเรือนไทยมาก
สามารถพูดได้ว่า การนำคณะทูตและสื่อลงพิสูจน์ความจริงในพื้นที่ พร้อมแจกเอกสารช่วยจำครั้งนี้ คุ้มเกินคุ้ม!
สงสารก็แต่ “พลโทหญิง มาลีสีฟักทอง” โฆษกกลาโหมเขมรเท่านั้นแหละ ต่อไปเธอแถลงอะไร ใครเขาจะเชื่อ!?
พูดถึง “กองทัพไทย” ต้องบอกว่าเป็น “เสือซ่อนเล็บ” มานับสิบปี
ในปฎิบัติการสั่งสอนเขมร ๒๔-๒๘ กรกฎา.๖๘ ครั้งนี้
ไม่เพียงสร้างความตื่นตะลึงและภาคภูมิใจให้เฉพาะคนไทยเท่านั้น กับมิตรประเทศในอาเซียนและบางประเทศนอกอาเซียน
ก็ต้องประเมิน “กองทัพไทย” ใหม่!
ทั้งบก, เรือ, อากาศ เห็นเงียบๆ เฉยๆ อย่างนั้นเถอะ
“เล็ก…แต่ล้มช้าง”!
กองทัพไทย เหมือนจอมยุทธ์ในหนังสือกำลังภายใน ลี้กายไปจากยุทธภพสิบกว่าปี ยอมให้นักการเมือง นักวิชาการแดงส้ม ขยี้ หยาม ขย่ม
ก็พยายามซ่อนงำประกายพลังฝ่ามือไว้นิ่งสนิท พอปรากฎในยุทธจักร ก็เป็นขุมกำลังที่พรั่งพร้อมยอดฝีมือทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น
อีกทั้งมีการฝึกปรือ-เคี่ยวกรำทั้งจิตใจและกระบวนยุทธ สอดประสานการเรียนรู้และเรียนใช้ “เทคโนโลยีไอที” ประกอบการยุทธปราดเปรียวเชี่ยวชาญ ทั้งน่าสะพรึง
และน่าตื่นตะลึง….
ที่ “ทัพไทย” พัฒนาล้ำยุคไปไกลเกินกว่านักการเมืองกะลาครอบจะมีปัญญาหยั่งถึง!
ยุทธการสั่งสอนพวก “เขมรคางคก” เลือดหัวไม่ตกก็ไม่สำนึก ครั้งนี้ ต้องขอบคุณฝ่ายการเมือง คือรัฐบาลที่มอบให้เป็นงานของกองทัพจัดการ
ถ้าการเมืองมาจุ้น วันนี้ เจ๊งเขมรไปแล้ว!
แต่เมื่อให้อำนาจกองทัพ ฝ่ายที่เจ๊ง กลายเป็นเขมร
แผนการศึกเขมรจะมีอะไร เมื่อร้อยปีทำยังไง ปีนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ตอดเล็ก-ตอดน้อย เจ้าเล่ห์ เกเร กวนตีน ขี้ฟ้อง และสับปลับ
ในขณะที่กองทัพไทย พัฒนาทั้งศาสตร์การยุทธ พัฒนาทั้งศักยภาพกำลังพล พัฒนาทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปถึงขั้นสร้างใช้-สร้างขาย พัฒนาคนพร้อมประยุคเทคโนฯ
พวกนักการเมือง ถามแบบหยามว่า “ทหารมีไว้ทำไม”?
พอทหารสำแดงให้เห็นว่าทหารมีไว้ทำไมครั้งนี้ ก็เกิดคำถามย้อนกลับว่า
“แล้วสส.มีไว้ทำไม?” น่าจะส่งไปเฝ้าปราสาทตาควาย ดีกว่าให้มาพูดควายๆ อยู่ในสภา!
เออ…รู้กันแล้วใช่มั้ย?
“ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติด้วยเสียง ๖:๓ “นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภา คนที่ ๑ กระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคสาม
เนื่องจากมีพยานหลักฐานว่า ๓ โครงการในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๙ ที่ จ.เชียงราย มาจากการดำริของนายพิเชษฐ์ และกลุ่มงานของนายพิเชษฐ์เป็นผู้ริเริ่ม
โดยให้ “สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร” มีคำขอเสนอโครงการทั้ง ๓ โครงการดังกล่าว ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.๒๕๖๙
มีรูปแบบต่อเนื่องจากงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๘ เข้าข่ายเป็นการกระทำใดๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ วรรคสองเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลง มีโทษตัดสิทธิการเลือกตั้ง ๑๐ ปี
เสร็จไปรายหนึ่งละ ด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔
ยังรออยู่อีกราย แนวโน้มน่าจะเสร็จเหมือนกัน คือรายที่ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องกรณีกล่าวหา “นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร”
และพวกเป็นร้อยคน
จัดทำร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
เรียกว่า “ล้างการเมืองประเทศ” กันไปเลย ถ้าศาลฯ วินิจฉัยว่าผิด คือทั้งครม.,กมธ.ของสส.และสว.เพราะมีการกระทำความผิดในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔
ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้
ประเด็นแรก พบปรากฏว่าได้ผ่านวาระ ๑ เข้าไปแล้ว แต่ต่อมา ครม.มีมติตัดงบประมาณ ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา ๒๘ ซึ่งเอามาใช้ในกิจกรรม และต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว
กรรมาธิการงบประมาณฯ ก็รู้ ในการประชุมครั้งที่ ๓๘ มีการถกเถียงกันถึงมาตรา ๑๔๔ แต่ต่อมาก็ให้ผ่านงบประมาณ!
นี่ เรื่องอยู่ในชั้นสอบสวน ป.ป.ช.รับเรื่องไว้เมื่อ ๙ มิ.ย.๖๘ จะครบกำหนดชั้นสอบสวนที่รุบว่าให้เสร็จโดยพลัน ภายใน ๖๐ วัน
๙ ส.ค.ที่จะถึง ก็ครบ ๖๐ วัน ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
และศาลฯ ต้องวินิจฉัยภายใน ๑๕ วันเมื่อรับเรื่อง!
“สิงหา-กันยา.” รอดูละกัน….
ทั้งรัฐบาล-รัฐสภา หงายท้องตกเก้าอี้ ประเทศนี้ อาจจะไม่มีทั้ง “รัฐบาลและรัฐสภา” ในเวลาเดียวกัน!?
เปลว สีเงิน
๒ สิงหาคม ๒๕๖๘
