เปลว สีเงิน
รัฐมนตรี “ทวี สอดส่อง” ก็คนรักๆ ชอบๆ กัน
เคยเตือนแล้ว
เรื่อง “ฮั้วเลือกสว.” นั้น เป็นเรื่องในวงแขนของกกต.โดยตรง รัฐธรรมนูญให้อำนาจตรวจสอบ-จัดการเบ็ดเสร็จ คนอื่นๆไม่ต้องไปยุ่ง
แต่รัฐบาลเพื่อไทย “สายสีแดง” คงหมั่นไส้ สว. “สายสีน้ำเงิน” เต็มแก่ เพราะสภาผู้แทนเขาจะ “หามหมู” กันทีไร…..
ไม่ว่าเรื่องแก้เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วตั้งสสร.เขียนใหม่ เรื่องพรบ.ประชามติ เรื่องพรบ.กาสิโน และฯลฯ
พอเรื่องถึงวุฒิสภา
“สว.สีน้ำเงิน” ต้องเป็น “คาน” เข้าไป “สอด” ให้พังไปทุกที
มันน่าแค้นนัก!
จะด้วย “ชายคนนั้น” สั่ง หรือ “รองนายกฯ ภูมิธรรม” กับ “รัฐมนตรีทวี” หวังดีเพื่อความสมูธของงานก็ไม่ทราบได้
จึงให้ DSI ไปเอาเรื่อง “ฮั้วสว.” มาทำเอง!
เรื่องจะได้ไวๆ “เด็ดหัว” พวกสีน้ำเงินออกไปซะที ให้พวกตัวสำรองที่ “หิวอาหารเม็ด” วิ่งกันพล่าน จนออกอาการเข้ามาแทน
โดยอ้างเรื่องฮั้วเป็นคนละส่วนกับงานของกกต.
เพราะเรื่องฮั้วเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน มีคนมาร้อง ว่าทำกันเป็นขบวนการ เข้าข่าย “อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน” ไปกันถึงขนาดนั้น!
งานนี้ “รองนายกฯภูมิธรรม” ในฐานะประธาน “คณะกรรมการคดีพิเศษ” และ รัฐมนตรี “ทวี” ในฐานะ “รองประธานฯ”
ต้องประชุมคณะกรรมการ ๒๒ ท่าน ถึง ๒ ครั้ง ถึงสำเร็จ!ครั้งแรกไม่ผ่าน
จนครั้งที่ ๒ ถึงผ่าน ด้วยเสียงในที่ประชุมไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ ให้รับเป็น “คดีพิเศษ”
สว.จึงเข้าชื่อส่งเรื่องผ่าน “ประธานวุฒิสภา”……
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐วรรคสาม ประกอบมาตรา ๘๒ ว่า
ความเป็น “รัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกร้องที่ ๑
และ “พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ ๒
“สิ้นสุดลงเฉพาะตัว”ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๔) และ (๕) 160 (4) และ (5) หรือไม่?
ในคำร้องของสว.กล่าวอ้างว่า การที่ผู้ถูกร้องทั้งสอง (รองฯภูมิธรรม-รัฐมนตรีทวี)
มีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๒)
เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
โดยใช้ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา
อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม
จึงถือได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสอง ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐(๔) และ (๕)เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐ (๔) และ (๕) หรือไม่?
ต่อมา ฝ่ายผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ฉบับลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘
และเมื่อวาน (๑๔ พ.ค.๖๘)
“ศาลรัฐธรรมนูญ” พิจารณาโดยอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
สำหรับกรณีปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องเพิ่มเติมของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘ พร้อมเอกสารประกอบ
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง “ให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยถึงที่สุด
ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่า…..
ผู้ถูกร้องที่ ๑ นายภูมิธรรม ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.กลาโหม
ยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องที่จะสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ หยุดปฏิบัติหน้าที่
ส่วนผู้ถูกร้องที่ ๒ พ.ต.อ.ทวี ดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม มีหน้าที่และอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการในฐานะผู้บังคับบัญชาข้าราชการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึง “กรมสอบสวนคดีพิเศษ”
ตามคำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ…..
ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า “ผู้ถูกร้องที่ ๒ มีกรณีตามที่ถูกร้อง”
จึงสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ (พ.ต.อ.ทวี) หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรม เฉพาะกำกับดูแล “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” และรองประธานกรรมการคดีพิเศษ
ตามพรบ.ดีเอสไอ พศ.๒๕๔๗ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๒ วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พค.๖๘ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ครับ…..
หมู่นี้ ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ และฟ้าผ่า อาจเกิดถี่และบ่อยเป็นพิเศษ ออกจากบ้านพกร่มไปด้วยก็ดี และอย่าหลบฝนตามใต้ต้นไม้ใหญ่
แม้กระทั่ง “ในคอก” ก็อย่าเข้าไปหลบ ผ่าเปรี้ยงเดียว ควันออกตูดฉุยทันทีเลย!
เรื่องนี้ ไม่มีอะไรต้องตกใจ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ท่านก็ให้ “หยุดปฎิบัติหน้าที่” ชั่วคราว เหมือนตอนพลเอกประยุทธ์ ถูกร้องเรื่องเป็นนายกฯ เกิน ๘ ปี นั่นแหละ
ศาลฯ ท่านก็ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราวระหว่างพิจารณาวินิจฉัย
รัฐมนตรีทวีท่านไม่ตกอก-ตกใจอะไรหรอก ยังปฎิบัติหน้าที่รัฐมนตรียุติธรรมได้ตามปกติ เว้นในส่วน DSI เท่านั้น ท่านห้ามเข้าไปยุ่ง
ช่วง “นาฬิกากรรม” ทำงานก็งี้แหละครับ ยังไม่จบหรอก เพิ่งเริ่มต้น
แต่แค่เริ่มเต้น ก็เห็นนายกฯ “หน้าเบะ” ทุกวัน ไปประชุมเวียดนาม จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ…เฮ้อ!
ห่วง “พ่อ”น่ะ
เป็นใคร ใครก็ห่วง เพราะบ่วงกรรมที่ไม่คิดว่าจะมีสำหรับชายคนนี้ ๑๓ มิถุนา.กลับเห็นแกว่งไกวไหวๆ รออยู่ข้างหน้า
มีคนบอกว่า วันที่ ๑๓ มิ.ย.ทักษิณไม่ต้องไปก็ได้
ต้องไปครับ!
เพราะในคำสั่ง “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง” เมื่อ ๓๐ เม.ย.ระบุไว้ชัด
“ให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๘ 2568 เวลา ๙.๓๐ น.”
โดยให้มีหมายแจ้งคำสั่งและหมายนัดให้โจทก์ (ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร)ทราบ
โดยมีหนังสือขอให้ศาลที่คู่ความมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาล ดำเนินการจัดส่งหมายดังกล่าวแทน
การส่งหมาย หากไม่พบหรือไม่มีผู้แทนโดยชอบ ให้ปิดหมายได้โดยให้มีผลทันที”
นี่ผมเอามาจาก “สำนักข่าวอิศรา” ฉะนั้น ไม่ว่าโจทก์หรือจำเลย ใครจะเฉไฉไม่ได้
อีกอย่างคำว่า “นัดพร้อม” เป็นภาษาไทยบอกความหมายชัดในตัวอยู่แล้ว “นัดพร้อม” ก็ต้องพร้อมทั้งโจทก์ ทั้งจำเลยนั่นแหละ
รวมทั้ง “ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, อธิบดีกรมราชทัณฑ์, นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ”
ต้องไปเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลในวันที่ ๑๓ มิ.ย.ด้วย!
เรื่องนี้ กูรูหลายท่านให้ความเห็นตามข้อกฎหมายไปหลายประเด็น ว่าทักษิณติดคุกตามหมายศาลไปแล้ว ยังจะมาอะไรกันอีก
ผมไม่ใช่นักกฎหมายจึง “ขอฟัง” ไม่ขอ “เสือกทุกเรื่อง”
แต่อยากให้ทุกท่านค่อยๆ อ่านข้อวินิจฉัยของ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง” เมื่อ ๓๐ เมษา.ซักนิด แล้วคิดซักหน่อย ก็จะเข้าใจ
ศาลวินิจฉัยว่า…..
“นายชาญชัยไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดง อม.๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑๐/๒๕๕๒ และคดีหมายเลขแดงที่ อม.๕/๒๕๕๑ ของศาลนี้
อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน ไม่มีส่วนได้เสียในคดี จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาล
“แต่ศาลเห็นว่า…..
อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร”
เข้าใจกันแล้วใช่มั้ย?
คือศาลให้เอาตัวทักษิณไปเข้าคุก แล้วราชทัณฑ์เอาไปเข้าคุกตามหมายจำคุกหรือเปล่าล่ะ?
ศาลท่านก็อยากทราบข้อเท็จจริงตรงนี้
ไม่ใช่การรื้อคดีขึ้นมาตัดสินใหม่หรือลงโทษซ้ำอย่างที่บางเกจิกฎหมายวิสัชนา
ที่ศาลเรียกโจทก์-จำเลย, ผบ.เรือนจำกรุงเทพฯ, อธิบดีกรมราชทัณฑ์, แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ให้มาพร้อมกันนั้น
ก็เพื่อความกระจ่างตรงนี้แหละ……
เพราะที่ศาลสั่งจำคุกทักษิณไปนั้น ศาลเห็นว่า “อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก”
ศาลท่านก็จะไต่สวน สอบถามตรงนี้ เมื่อไต่สวน สอบถาม ดูพยาน หลักฐาน ได้ความจริงชัดเจนอย่างไรแล้ว
ท่านก็จะมีคำสั่ง “ตามที่เห็นสมควร” เฉพาะตรงนี้!
ถ้ามีการบังคับคำพิพากษาเป็นไปตามหมายจำคุกจริง
ก็จบ!
แต่ถ้ามีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ทักษิณก็กลับไป “เข้าคุก” ก็เท่านั้นเอง
คุก “เป็นเกียรติประวัติของคนโกง” เท่ตะตาย!
เปลว สีเงิน
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘
