2 พฤษภาคม 2568 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า จากการได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค ร่วมกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรค ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้สมัครภาคเหนือตอนบน ที่ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เนื่องจาก มีประสบการณ์และความคุ้นเคยกับพื้นที่ในเขตภาคเหนือ จากการได้รับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) จ.พะเยา และเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการขับเคลื่อนพรรคให้สอดรับกับยุคปัจจุบัน ด้วยปรัชญาพรรค ”อนุรักษ์นิยมทันสมัย“ ชี้ให้เห็นชัดว่า เป็นพรรคของประชาชนทุกกลุ่ม ให้ความสำคัญกับนโยบายการยกระดับคุณภาพชีวิตและปากท้องของพี่น้องประชาชน รวมถึงการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามจากยาเสพติด ด้วยสโลแกนปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส พร้อมเดินหน้าในการขับเคลื่อนการเมืองเพื่อประชาชนต่อไป ภายใต้การนำของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค
“การเปลี่ยนแปลงของ พปชร.ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของพรรคการเมือง ซึ่งก็ต้องดูว่าเลือดที่ไหลออกไปเป็นเลือดแบบไหน มันก็ต้องมีการถ่ายเลือดและนี่ก็คือเหตุผลของการเปลี่ยนโลโก้ เพื่อที่จะมองให้เห็นว่าตอนนี้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคยุคใหม่ ที่เราก็ต้องเริ่มกันใหม่ ภายใต้อนุรักษ์นิยมทันสมัย ที่ เรายึดในการเป็นพรรคที่อนุรักษ์นิยมก่อน แต่เราต้องยอมรับว่าโลกยุคใหม่เป็นโลกดิจิทัล เราจะต้องปรับตัวผสมผสาน ระหว่างการอนุรักษ์นิยมและเทคโนโลยี” นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช ยังกล่าวต่อถึงแนวทางการทำพื้นที่ภาคเหนือตอนบนว่า จากการวิเคราะห์และถอดบทเรียนในการเลือกตั้ง ทั้งระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมา ตนมั่นใจว่ากระแสของพปชร.ที่ปรับรูปแบบใหม่ เปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพิ่มนโยบายที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน ความเดือดร้อนของประชาชน เชื่อว่า ประชาชนก็จะให้การสนับสนุน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบ และทำงานให้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ศูนย์กลางของพรรคคือประชาชนและ สส.ทุกคน ก็ต้องทำหน้าที่ในการดูแลประชาชนในพื้นที่ ไปรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและ นำประเด็นปัญหาต่างๆ เข้ามาสู่กลไกสภา ไม่ใช่พอเลือกมาแล้ว ก็อยู่แต่ในสภาไม่ลงไปสัมผัสประชาชน ก็คงจะไม่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงอดีตสมาชิกพรรค พปชร.ที่อาจจะต้องหาเสียงในพื้นที่เดียวกัน นายสุรเดช กล่าวว่า ตนไม่ได้ถือว่าแข่งขันกัน แต่ถือว่าเป็นพันธมิตรกันได้ หากยังมีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการปกป้องสถาบัน และมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชน เราๆร่วมมือกันได้ไม่มีปัญหา แต่ที่สำคัญนโยบายของพรรคต้องชัดเจน และการปฏิบัติต้องเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นใครดีกว่าใคร ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน