ไม่ต้องถึง “๒๔ ชั่วโมง” หรอก
แค่ ๖ ชั่วโมง ……
“โควิด” ก็ติดแหง็ก “เคอร์ฟิว” แล้ว!
“นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษกโควิด อัพเดทประจำวันเมื่อวาน (๖ เมย.๖๓) ว่า ป่วยเพิ่ม ๕๑ คน
ได้ยินตัวเลข ๕๑ แคะขี้หูกันยกใหญ่ เกรงจะฟังผิด
ก็ไม่ผิดหรอก
วันละร้อยมาครึ่งเดือน แค่คนไทย “ใจร่วมรัฐ” อยู่เหย้าเฝ้าหอ คุยกับจิ้งจงข้างฝา ๒-๓ วัน เท่านั้นแหละ ตัวเลขลดเลย
แต่หมอทำฟอร์ม บอกอย่าเพิ่งดีใจ ที่รอผลตรวจยังมีอีกเยอะ และสถานการณ์ยังไม่นิ่ง ตัวเลขยังแกว่งขึ้น-แกว่งลงได้
เอาเถอะน่า …….
ให้ “ดีใจ-เสียใจ” กลับไปบ้าง ยังไงก็ดีกว่าเสียใจทุกวัน!
สรุป ติดเชื้อเพิ่ม ๕๑ รวมสะสม ๒,๒๒๐ ราย ตายรวม ๒๖ ราย หายป่วยรวม ๗๙๓ เหลือนอนโรงพยาบาล ๑,๔๒๗ ราย
โควิดคงนึกนะ คนไทยนี่ ยังไงของมันวะ เห็นด่าพ่อล่อแม่ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบกันซะขนาดนั้น นึกว่าจะจับกินง่าย
ที่ไหนได้ …….
เหมือนผึ้ง เห็นว่าแตกรัง พอแหยมเข้าไป พวกมันกลับเป็น “ผึ้งหวงรัง” สามัคคีร่วมฝูง ต่อยตีซะหนีแทบไม่ทัน
กินคนไทย กินยาก พอๆ กับเข้าใจยาก ถ้าคนไทยฮึด ยึดวินัยเข้มตามหมอสั่งอีกซักนิด
เผลอๆ โควิดจะติดโบว์แดงให้ ไทยเป็นประเทศ “กินยาก” ที่สุดในโลก!
ก็ต้องช่วยกันลุ้นยอดวันต่อๆ ไป ……
ถ้าหัวศรมันแหยง จากแทงขึ้น เป็นทิ่มลง ๒ หลัก ติดต่อกันไปซักสัปดาห์ ไม่แน่นะ เราอาจได้ฉลอง “มินิ-สงกรานต์” ร่วมวัน “ฉัตรมงคล” ก็เป็นได้
คนที่ต้องไปรดน้ำขอพรกลุ่มแรก คือ “แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์” ตามโรงพยาบาลต่างๆ จังหวัดใคร-จังหวัดมัน
ลองมาดูกันบ้าง ว่าชาวบ้านเขามองและมีทัศนะต่อการทำงานของรัฐบาล, แพทย์-พยาบาล ในภาพรวมยังไงบ้าง ผมจะยกที่เม้นท์กันมาให้อ่านซัก ๒-๓ ราย
Momo Da Nongsen
วันนี้อุ่นใจขึ้นมาก เห็นการทำงานตั้งแต่ อสม.จริงจัง จนถึงผู้ว่าและส่วนกลาง เครื่องร้อนได้ที่แล้ว ที่พลาดบ้างก็จูนดีแล้ว
สงสารแต่จนท.สาธารณสุข ที่ดูโอเวอร์ฮีท ผมว่าเราวอร์มพวกผีน้อยแล้ว ผีใหญ่ก็ได้ชิมบ้างแล้ว เชื่อว่างานนี้มีจนท.มีภูมิคุ้มกันรับมือได้แน่
ดูข่าวพวกนอกลู่นอกรอยกฎหมายก็ถูกเก็บไปเรื่อยๆ ฝรั่งท่องเที่ยวทำผิดกฎหมายซัดไม่ลังเล
เห็นว่าเป้าหมายการทำงานชัดเจน ถ้าหากผีใหญ่มาซ่าคงไม่เหลือ เรารอดแน่ ตราบที่ปชช.กับภาครัฐน้ำหนึ่งในเดียวกันแบบนี้…
งานนี้พวกคลั่งตะวันตกแบบไม่ดูที่มาที่ไป คงสงบปากสงบคำไปอีกหลายปี
Jantana Chinaprayoon………
ประเทศไทยต้องชนะ เราในฐานะคนไทยปฎิบัติตามกฎที่รัฐกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด จะนำพาประเทศไปสู่หนทางแห่งชัยชนะ เรามาถูกทางทุกประเด็น
Nupun An……….
คหสต นะครับ คนที่อยู่ต่างประเทศเช่นอเมริกา อังกฤษหนีกลับไทยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่โดดวีซ่าหางานทำ ในอเมริกาจะเรียกกันว่าโรบินฮู้ด
เมื่อร้านอาหารถูกสั่งห้ามให้นั่งทานในร้านก็เหลือแต่สั่งเอากลับไปกินที่บ้าน เลยถูกเลิกจ้างงานกันบานตะไท อยู่ไปค่าใช้จ่ายสูงมาก
เจ็บป่วยขึ้นมาจะยุ่งมาก โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อโควิดด้วย ไม่มีเงินจ่ายค่ายาค่าอาหารการกิน ค่ามือถือ ฯลฯเลยต้องหนีตายกลับไทย
คนไทยที่สามารถทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นจะไม่เดือดร้อนกระเสือกกระสนกลับเมืองไทยเหมือนคนพวกนี้ เพราะเขาอยู่กันได้ เพราะทำงานเสียภาษี
ฉะนั้น เขาก็จะได้มีสวัสดิการรองรับไม่มากก็น้อย เมื่อวิกฤติผ่านไป ก็ยังกลับไปหาทางทำงานต่อได้
คนพวกนี้ ที่กลับจากเอมริกาไป ถ้าโดดวีซ่าเป็นโรบินฮู้ดจะถูกขึ้นบัญชีดำ ไม่สามารถกลับเข้าอเมริกาอย่างน้อย 10 ปีหรือตลอดไป
ประเทศไทยคงต้องทนกับคนพวกนี้ไปอีกนานเลยครับ
แหม……
นี่ถ้า “ลุงตู่” เห็น คงยิ้มกลางสี่แยกแน่ ในที่สุด สิ่งที่ทำ ไม่เพียงฟ้าเห็น ดินเห็น
คนไทยทั้งในและนอกก็เห็น!
ถ้าไม่ใช่ลุงตู่ไปนิมนต์ “อาจารย์หมอ” ระดับเกจิ จากทุกสำนัก มาร่วมร่ายมนต์สยบโควิดละก็ ป่านนี้ดูไม่จืด
คุมยอดไว้ อย่าให้เกินระดับ ๒ พัน กำลังทัพด้วย “ขุนพล-ขุนศึก-นักรบ” เสื้อกาวน์ พอจะเอาอยู่
แต่ถ้าป่วยติดเชื้อ ทะลุ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ยากจะมีงานฉลองอะไร มีแต่งาน “ฌาปนกิจฉุกเฉิน”!
ในยอด ๒ พันตอนนี้ หายป่วยแล้วร่วม ๘๐๐ คน ถือว่าสถิติไม่ขี้เหร่
๘๐๐ คนนี้……..
ลุงยง “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่ปรึกษาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
ท่านเตรียมมอบเหรียญอัศวินให้แน่ะ!
คือคนที่ติดเชื้อแล้วรักษาหาย ถือว่าเลือดมีภูมิคุ้มกัน ถ้าเป็นไปได้ ………
อยากให้ไป “บริจาคพลาสมา” ที่สภากาชาดไทย เพื่อนำไปทำวัคซีน ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้ออาการหนัก
“พลาสมา” สรุปง่ายๆ คือ “น้ำเหลือง” ในตัวนั่นแหละ
เชื้อโควิด ยังไงก็ไม่ดี แต่ถ้าติดเชื้อแล้วรักษาหาย จากไม่ดี กลายเป็น ดีเลิศเลอ ค่ายิ่งกว่าทองคำ
นำมาใช้ลักษณะ “หนามยอก-เอาหนามบ่ง” เหมือนคนถูกงูกัด ใช้อะไรก็ไม่ได้ ต้องใช้เซรุ่มอย่างเดียว
เซรุ่ม ก็พลาสมาสกัดจากเลือดสัตว์ เช่น งู, หนู, ต่าย อย่างที่เราพูดกันว่า “หนูทดลองยา” คือทำให้มันเกิดภูมิต้านทานเชื้อโรคแล้ว ก็ใช้ไปฉีดในคน เพื่อให้เกิดภูมิต้านทานเชื้อโรคนั้นๆ
เนี่ย…….
ในระหว่างไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกันโควิดโดยตรง ก็จะใช้พลาสมาคนป่วยหายแล้วนี่แหละไปรักษา
เห็นว่า “เซียนมวย” หลายสิบคนที่ป่วยแล้ว-หายแล้ว นัดจะไปบริจาคกันที่สภากาชาดไทย ก็ขอโมทนา
คนไม่เคยติดเชื้อก็ไปบริจาคได้นะ แต่ไม่ใช่พลาสมา เป็น “บริจาคเลือด” ตอนนี้ “ขาดแคลน” มาก!
มีเรื่องควรทราบนะครับ
จำกันได้นะ เหตุวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลูกเทพทั้งหลายจากนอก มาแล้วจะไม่ยอมให้กักตัว ๑๔ วัน จนต้องสั่ง “ปิดสนามบิน” นั่นน่ะ
ตามคำสั่งเดิม ปิด ๓ วัน ครบกำหนด ๖ เมย.
สำรวจตรวจตราแล้ว พบว่ามีทั้งคนไทย-คนเทศ จำนวนมาก เตรียมไหลทะลักเข้ามา
ถ้าเฮละโลเข้ามาพร้อมกันตอนนี้ เลขป่วย ๒ หลัก จะพุ่งเป็น ๓ หลักแน่ๆ!
เมื่อวาน (๖ เมย.) การท่าฯ จึงมีคำสั่งฉบับที่ ๒ ปิดต่อ
ตั้งแต่อังคาร ๗ เม.ย. ๐๐.๐๑ น.ถึงเสาร์ ๑๘ เม.ย. ๒๓.๕๙ น.
คำถามว่า แล้วคนไทยที่เตรียมรอกลับทำไง?
ไม่ต้องตกใจ อย่าด่วนด่า-กระดวนโพสต์สะเหร่อๆ เขามีข้อยกเว้นให้บางจำพวก
เช่น “เครื่องบินที่ได้รับอนุญาตให้บินรับส่งบุคคลกลับภูมิลำเนา” เป็นต้น
หมายความว่า คนไทยหนีตายจากยุโรป-สหรัฐ ได้กลับบ้านแน่ แต่ถึงสนามบิน ยังถึงบ้านไม่ได้
ต้องถูกนำไปกักตัว ๑๔ วันก่อน!
ปัญหาที่สนามบิน คืนที่ ๓ เมย.ยังหมายมั่นคั้นโทษกันไม่จบ ประเด็น “ปล่อยก่อน-ตามตัวมากักทีหลัง” ว่าพลตรีผิด หรือผู้ใหญ่คนที่สั่งให้ปล่อย เป็นฝ่ายผิด?
แล้วระบุว่านายแพทย์ “ประธานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ว่าเป็นผู้ให้ปล่อยไปก่อน เพื่อกันเหตุจลาจล
ผมว่านะ เราไม่ควร “เอาเป็น-เอาตาย” กับทั้งนายทหาร ทั้งนายแพทย์ประธานศูนย์คืนนั้น
“ไม่ผิด-ไม่ถูก” หรอก ในเหตุการณ์คืนนั้น มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าระหว่าง “กฎหมู่กับกฎหมาย”
ใครที่มีหน้าที่ขณะนั้น ก็ต้องประเมินสถานการณ์ และต้องตัดสินใจอย่างใด-อย่างหนึ่ง
เมื่อประเมินแล้ว กับคนหมู่มากที่เครียดคลั่ง การใช้อำนาจ-ใช้กำลังบังคับ หรือการผ่อนคลาย จะได้ประโยชน์กว่า ก็ต้องชั่งน้ำหนัก
แต่เมื่อตรองแล้ว-ชั่งแล้ว เห็นว่า ปล่อยหมู่มากที่เครียดคลั่งไปก่อน ค่อยตามตัวมากักทีหลัง จะเสียหายน้อยกว่าหักหาญ
นั่นก็ โอเค.!
เรื่องนี้ เหมือนนักฟุตบอลเตะในสนาม กับคนดูข้างสนาม ถ้าคนดูลงไปเตะบ้าง จะเข้าใจนักฟุตบอลทันที
ที่ตะโกนว่า ยิงเลย..ยิงเลย นั่นน่ะ
นักฟุตบอลก็คงอยากตะโกนกลับไปเหมือนกันว่า
“เก่งจริง ลงมายิงเองเลย มา…ลงมา!
การรบ…….
ชนะไม่ได้มาจากการบุกทุกครั้ง บ่อยไปที่ชัยชนะมาจากการ “รู้จักถอย”