6 มีนาคม 568 ที่กระทรวงยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งมีวาระสำคัญในการพิจารณาคดีฮั้วเลือก ส.ว. 67 ที่เกี่ยวข้องกับพฤติการณ์มิชอบตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และประมวลกฎหมายอาญา
พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะเลขานุการและกรรมการ กคพ. เสนอข้อมูลให้ที่ประชุมพิจารณาคดีในหลายฐานความผิด ได้แก่ ความผิดฐานอั้งยี่ (มาตรา 209) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ (มาตรา 116) การฮั้วเลือก ส.ว. (มาตรา 77 พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา) และการฟอกเงิน (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542)
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมไม่รับคดีอั้งยี่และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงให้เป็นคดีพิเศษ โดยให้ DSI ดำเนินการเฉพาะความผิดฐานฟอกเงินเท่านั้น เนื่องจากเป็นความผิดที่อยู่ในบัญชีท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งอธิบดี DSI มีอำนาจดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องขอมติจาก กคพ.
ขณะที่กรรมการอีก 4 คนโหวตค้าน และ 3 คนงดออกเสียง ส่งผลให้ข้อเสนอของ DSI ที่ต้องการให้บอร์ดรับคดีอาญาอื่นตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) ถูกตีตก เนื่องจากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 15 เสียงตามเกณฑ์ 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด 22 คน
รายงานข่าวระบุว่า ที่ประชุมประเมินว่ามูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงินน่าจะเกิน 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้คดีเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติ ดังนั้น DSI จึงสามารถเดินหน้าสอบสวนในประเด็นฟอกเงินได้เลย โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้าพิจารณาในที่ประชุม กคพ. อีก
ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พร้อมพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการฯ ร่วมกันแถลงข่าว
โดยนายภูมิธรรม กล่าวว่า
ประเด็นที่ 1 การประชุมในวันนี้ทางบอร์ดกคพ.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงเนื่องจากมีผู้มาร้องกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยทางบอร์ดวันนี้ไม่ได้พิจารณาในกระบวนการเกี่ยวกับการเลือกสว.แต่อย่างใด แต่ทางบอร์ดได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการร้องทุกข์มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินซึ่งมีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายกับการได้มาซึ่งสว. ที่ระบุว่าการใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้เลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย
“ทางบอร์ดขอย้ำว่าการพิจารณาคดีว่าเป็นคดีพิเศษครั้งนี้ผ่านการพิจารณาของบอร์ดที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายที่ ไม่ได้มาจากการตัดสินใจโดยคนใดคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด”
2. ไม่ได้เป็นการยุ่งเกี่ยวอำนาจและหน้าที่ของกกต. ซึ่งกกต.ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการดูแลการเลือกตั้ง กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องการดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับบุคคลที่กระทำความผิดตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ดังนั้นเป็นการทำงานในลักษณะประสานงานร่วมกัน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายของตนเองที่แตกต่างกันจะมีเป้าหมายเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่าทางดีเอสไอได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นนิ่งเฉยก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผลเสียจะเกิดกับประชาชน
3.การที่ทางดีเอสไอ ได้รับเรื่องนี้ไว้แต่ผู้กล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงจะต้องมีกระบวนการการสืบสวนสอบสวนตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจะต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด โดยในที่ประชุมมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 18 คน มีผู้ลาประชุม 3 คน และอีก 1 คนได้เซ็นชื่อเข้าร่วมประชุมแต่ขอออกจากที่ประชุมก่อน ซึ่งมติชี้ขาดฐานคดีฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 (1) ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งตามบอร์ด กคพ. จะโหวตตามเสียงข้างมาก โดยทั้ง 18 คน มีมติรับเป็นคดีพิเศษ 11 คน งดออกเสียง 3 คน และ ไม่เห็นด้วย 4 คน
ส่วนตามมาตรา 21(2) ตามเสียง 2 ใน 3 ในที่ประชุม ซึ่งไม่ได้เข้าเงื่อนไขดัวกล่าว ทั้งนี้หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. 2561 มาตรา 77 วรรคหนึ่ง อันอยู่ในหน้าที่และอำนาจของกกต.ให้แจ้งต่อคณะกรรมการ กกต.ทราบ เพื่อพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าในการพิจารณาในเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของบุคคลหรือการเมือง เราพิจารณาตามข้อกฎหมายแท้ๆ เราทราบดีว่าแต่ละท่านก็ต้องกังวลใจ ถ้าเราทำอะไรไม่ถูกไม่ควรมันจะมีผล ซึ่งเป็นความในใจที่ไม่ได้เป็นปัญหาในการตัดสินใจของเรา แต่เราจะทำในสิ่งที่รอบคอบมากที่สุดในการพูดคุยกับทุกฝ่าย ผลออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น และขณะนี้ก็เป็นเพียงแค่กระบวนการที่รับมาเพื่อจะสืบสวน สอบสวน ทั้งหมดก็อยู่ที่ศาลยุติธรรมจะต้องเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้ายเราไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดความผิด
ด้านพ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หลังจากมีการรับเป็นคดีพิเศษ จะเชิญพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และอำนวยความยุติธรรม และจะตั้งคณะทำงานสอบสวนเพื่อนำไปสู่การสอบสวน ทั้งนี้มีการประสานข้อมูลกับ กกต. อยู่แล้วเพราะที่ผ่านมาร่วมกันทำงานกันมาตลอด เพราะข้อหาฟอกเงินข้อผิดอาญาอื่นไม่จำเป็นต้องเชิญผู้แทน กกต.
ส่วน สว. มีการแสการแสดงความเห็นว่าได้มาโดยชอบและไม่ได้ไปทำผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งกระบวนการได้มาซึ่ง สว. มีการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มีผู้มาร้องและกระทบต่อความมั่นคง ถ้าเราไปครอบงำก็จะส่งผลกระทบต่อฝ่านนิติบัญญัติ
“ดีเอสไอ ทำเฉพาะกรณีความผิดเกี่ยวกับฟอกเงิน และอาจขยายผลเกี่ยวกับคดีอาญาอื่น เช่นอั้งยี่ แต่ถ้าหากกลุ่มสว.อยากมาให้การแสดงความบริสุทธิ์ เราก็พร้อมที่จะรับฟัง” นายทวี ระบุ
มีรายงาน แจ้งว่า เหตุที่ดีเอสไอสามารถรับทำคดีนี้ได้ทั้งๆ ที่ได้เสียงเห็นชอบจากบอร์ด กคพ. ไม่ถึง 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด หรือ 15 จาก 22 เสียง เป็นเพราะความผิดฐานฟอกเงินเป็นหนึ่งในความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ในอำนาจของ ดีเอสไอ ในการทำคดีอยู่แล้ว โดยอธิบดีดีเอสไอสามารถชี้ขาดได้เลย
แต่เนื่องจากมี “ข้อสงสัยบางประการ” จึงต้องให้ กคพ. เป็นผู้ชี้ขาดข้อสงสัยนั้น ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของ กคพ. เท่าที่มีอยู่ หรือ 11 จาก 22 เสียง ส่วนการใช้เสียง 2 ใน 3 ของบอร์ด กคพ. ชี้ขาด จะใช้เฉพาะกรณีการกระทำผิดอาญาอื่นที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในบัญชีแนบท้าย.