วันวาน “๓๐ ธันวา.” วันสิ้นเดือน “สุดท้าย” ของปี
วันนี้ “๓๑ ธันวา” วัน “สันตติกาล”
คือช่วงแห่งกาลเวลา ๓๑ ธันวา.๖๗ “เชื่อมต่อ” เข้ากับ ๑ มกรา.๖๘ ณ “เที่ยงคืน”
กำหนดกันว่า ณ สันตติกาลนั้น เป็นวัน “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับศักราชใหม่”
จำยากนัก….
งั้นจำง่ายๆ ก็แล้วกัน “๓๑ ธันวา” วันราชการทำงานเพื่อให้เมียนายกฯโอนโฉนด”!
นานๆ ทีจะมีโอกาสหยุดยาวต่อเนื่องเป็นสัปดาอย่างนี้ จะอยู่กับเหย้า-เฝ้ากับเรือนให้เหงาจิตทำไมล่ะ
ในเมื่อ “หัวใจติดปีก” ก็ต้องไปกัน
แล้วที่ไหนดีล่ะ เป็นที่หมายปอง-หมายไปในวันเปลี่ยนพ.ศ.?
ส่วนมากกลับไปฉลองปีใหม่กับญาติพ่อแม่พี่น้องและครอบครัวตามภูมิลำเนาเดิม
อีกส่วนก็เที่ยวตามหัวใจเรียกร้อง เท่าที่เห็นจะขึ้นเหนือไปอังกระไอหนาวกันที่ “เชียงใหม่-เชียงราย”
ไงก็เก็บตกหัวใจเหี่ยวๆ ของผมติดท้ายรถไปเที่ยวด้วยละกัน
ดูตามข่าว เห็นคนเป็นล้าน ไปแย่งกันงับโอโซนอยู่บน “ดอยอินทนนท์” และแถวๆ “บ้านแม่กำปอง”
เห็นแล้วเนื้อเต้นตาม ขอให้ไปดีๆ แล้วเดินทางกลับกันมาดีๆ ด้วยกันทุกคนนะ
“เหนือ-อีสาน” แน่นยัดทะนานทุกปี เที่ยวกันมากๆ ก็ดี เท่ากับช่วยกัน “รดน้ำเศรษฐกิจ” ชาวบ้านตามรายทางที่เหี่ยวเฉาได้ผงกหัวกันขึ้นมาบ้าง
“เหล้า-ยาน่ะ” ถ้าอดใจไม่ได้จริงๆ “จิบๆ พออาเจียน” ก็พอ อย่าให้ถึงขั้นต้องหามเลย
และที่สำคัญ “ถ้าดื่ม-อย่าขับรถ” เป็นอันขาด ตรงนี้ “ขีดเส้นใต้” เลยนะ พวกที่ไม่ได้ขับ นั่งหลังรถนั่นเหมือนกัน เขาห้ามดื่มนะ
ถ้าแอบกรึ๊บ จำให้ขึ้นใจ อย่าคะยั้นคะยอให้คนขับกรึ๊บด้วยเชียว!
ผมน่ะ..มันผ่านการเสียคนมาแล้วไอ้น้องเอ้ย จึงเตือนด้วยหวังดี เหล้าน่ะ โบราณท่านว่า
“แก้วหนึ่ง นงนุช แก้วสอง พุทธวาจา แก้วสาม แกล้วกล้า แก้วสี่ ผ้าขาดไม่รู้ตัว แก้วห้า เมามัวพูดไม่กลัวผิด
แก้วหก มิ่งมิตรพูดผิดทุกคำ แก้วเจ็ด มืดหน้าตาดำมือคลำหนทาง แก้วแปด นวลนางเห็นช้างเท่าหมู
แก้วเก้า โฉมตรู เห็นประตูเป็นบันได และแก้วสิบ ไปไม่ไหวลงนอน”
“ลงนอน” ก็นับว่าบุญโข
ถ้าขับรถ ไม่ต้องถึงแก้วที่สิบหรอก ซักแก้วที่ ๓ ที่ ๔ ก็ได้ลงนอนข้างทางกันทั้งคันรถแล้ว!
กลับบ้านกลับช่องฉลงปีใหม่แบบนี้ ผมขอเสนอโปรแกรมเสริมให้ท่านซักนิด
ไปถิ่นที่ไหน-จังหวัดไหน ควรหาโกาสไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนั้นๆ ก่อน เรียกว่าเคารพนบนอบต่อเจ้าที่-เจ้าทาง
แล้วเราจะปลอดภัย มีโชค-มีชัย ด้วยสิ่งศักดิ์คุ้มครอง เช่นไปไหว้พระ ไหว้ศาลหลักเมืองเป็นต้น
“เชื่อ-ไม่เชื่อ” เป็นเรื่องของท่าน ที่บอก เป็นกุศโลบายหวังให้ท่านมีสติ มีสิ่งยึดเหนี่ยวใจ ไม่ใช่มุ่งแต่เที่ยวเตลิด
ขึ้นเหนือ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ “ดอยอินทนนท์”
“ยิ่งสูง-ยิ่งหนาว” ดอยอินทนนท์สูงที่สุดและหนาวที่สุด จึงพากันไป เพราะทุกคนชอบความเป็น “ที่สุด” กันทั้งนั้น
ดังนั้น ผมขอแนะ….
ขึ้นไปแล้ว อย่ามุ่งแต่อังกระไอหนาวแล้วแชะ..แชะ
มีสถานที่แห่งหนึ่งบนดอยอินทนนท์ที่ท่านควรไปเพื่อ “มงคลสูงสุด”ของชีวิตในปี ๒๕๖๘
คือที่ “พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ”
ผมเคยไปมาหลายสิบปีแล้ว จะเล่า ก็รู้งูๆ ปลาๆ เอางี้ดีกว่า อาศัยเพจ “พี่เห็ด มัชรูมทราเวล” เป็นไกด์นำทาง เพราะเขาเขียนไว้ครบสาระ
……………………….
“พี่เห็ด มัชรูมทราเวล”
“พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ”
ตั้งอยู่บนดอยอินทนนท์ ในพื้นที่ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ลักษณะเป็นองค์พระธาตุสร้างอยู่คู่กัน โดย “พระมหาธาตุนภเมทนีดล” สร้างถวาย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙”
เนื่องในวโรกาส “ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐
และ “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” ได้สร้างถวาย “สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ”
ในวโรกาส “ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕
เรียกได้ว่าเป็น “พระมหาธาตุคู่พระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระราชินี”
“พระมหาธาตุนภเมทนีดล” มีความหมายว่า “พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจรดดิน”
ถือเป็นพระมหาสถูปเจดีย์ “องค์แรก” ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินที่สูงที่สุดในประเทศไทย
องค์ “พระมหาสถูปเจดีย์” เป็นสีน้ำตาล มีสัณฐานทรงระฆัง ๘ เหลี่ยม และมีลวดลายแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง แทน “พระบารมี ๓ ขั้น”ตอนที่ “พระพุทธเจ้า” ได้ทรงบำเพ็ญ
ประกอบด้วย บารมีขั้นแรก ๑๐ ขั้น อุปบารมี ๑๐ ขั้น และปรมัตถบารมี ๑๐ ขั้น รวมเป็น บารมี ๓๐ ทัศ
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป “ปางประทานพร” พร้อมด้วยสวนดอกไม้หน้า “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ”
สำหรับการเดินขึ้นไป “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” จะมีทางเดินที่เป็นสวนบนเนินเขาและขั้นบันไดเล็กๆ สามารถเดินได้สะดวก
นักท่องเที่ยวจะชอบมาจุดนี้ เพื่อถ่ายรูปกับสวนดอกไม้สวยๆ พร้อมชมวิวเมืองเชียงใหม่ รวมถึงถ้าใครไม่สะดวกเดินบนเนินเขาก็ยังมีบันไดเลื่อนอีกด้วย
“พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” มีความหมายว่า “เป็นกำลังแห่งฟ้าเป็นสิริแห่งดิน”
องค์พระธาตุมีรูปทรง ๑๒ เหลี่ยม ประดับโมเสกแก้วสีม่วงอมชมพูสีเดียวกันทั้งองค์
ที่ส่วนยอดขององค์เจดีย์เป็นยอดปลี ล้อมด้วยกลีบดอกบัวตูม ประดับด้วยโมเสกแก้วสีทอง
ภายในเป็นที่ประดิษฐาน “พระบรมสารีริกธาตุ” และ “พระพุทธรูปหินหยกสีขาว” ปางรำพึง
ซึ่งเป็นพระประจำวันพระราชสมภพของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ” และได้รับพระราชทานนามว่า
“พระพุทธสิริกิติฑีฆายุมงคล”
มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคลและทรงเจริญพระชนมพรรษา”
สำหรับ “พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ” เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวเชียงใหม่และขึ้นดอยอินทนนท์ จะมาเยี่ยมชมที่นี่
นอกจากจะได้ชมความสวยงามขององค์พระธาตุคู่ รวมถึงสวนดอกไม้บริเวณรอบๆแล้ว
ที่นี่ยังอยู่บนจุดที่ “สูงที่สุด” ในประเทศไทย สามารถมองเห็นวิวภูเขาสวยๆ โดยรอบจากมุมสูงได้ชัดเจน อากาศก็เย็นสบาย
ในบริเวณจะมีป้ายเตือนอากาศเบาบาง เพราะอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ๒,๑๔๒ เมตร เลยทีเดียว
แนะนำว่า ให้เดินเที่ยวชมหรือเดินขึ้นลงเขากันอย่างช้าๆเพื่อที่จะได้หายใจกันได้สะดวก
…………………………….
สำหรับท่านที่ฉลองปีใหม่อยู่ในเมืองกรุง คงไม่ต้องให้ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนกระมัง รู้ดีกว่าผมซะอีก
ฉะนั้น ไม่แนะ แต่ขอเน้นซักสถานที่
ในโอกาส “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ”พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗”
พร้อมกับในโอกาส “ครบ ๕๐ ปี” ของการ “สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน”
“รัฐบาลไทย” ร่วมกับ “รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน” ได้อัญเชิญ “พระบรมสารีริกธาตุ” (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
มาประดิษฐานในประเทศไทยชั่วคราว ณ “มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง”
ระหว่างวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ – ๑๔ กุมภาพันธ์ ๓๒๕๖๘ เป็นเวลา ๗๓ วัน
เพื่อเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในโอกาส “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” นั้น
เปิดให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและประเทศชาติด้วย
โอกาสที่เราจะได้กราบสักการะ “พระบรมสารีริกธาตุ” (พระเขี้ยวแก้ว) นี้ นับว่ายากยิ่ง
เมื่อรัฐบาลจีนอัญเชิญมาประดิษฐานให้คนไทยกราบสักการะถึงที่ท้องสนามหลวงเช่นนี้
ต้องบอกว่าเป็นบุญวาสนาของประเทศไทยและของคนไทยทุกคน
ฉะนั้น ปีใหม่นี้ ต้องไปกราบสักการะกันให้ได้นะครับ แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เมื่อเข้าสู่สนามหลวง ควร สำรวมกาย-วาจา แล้ว “อธิษฐานจิต” สะอาด-สว่าง-สงบ เป็นพุทธบูชา
ต้องบอกกันตรงๆว่า…
ปี ๒๕๖๘ นี้ เป็นปี “กรรมใคร-กรรมมัน” นอกจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว สิ่งที่เราเคารพนับถือ ต้องยึดมาเป็นที่พึ่งทางใจไว้ให้มากๆ
“พระบรมสารีริกธาตุ” (พระเขี้ยวแก้ว) นี้ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
เชื่อว่าเป็น “พระเขี้ยวแก้ว” เบื้องบนซ้ายของ “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
แต่เดิมประดิษฐาน ณ แคว้นคันธาระ ต่อมาได้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่เมืองฉางอัน (ชีอาน) สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย “พระภิกษุฟาเหียน” ครั้งจาริกไปสืบพระศาสนายังอินเดีย
“องค์พระเขี้ยวแก้ว” มีความยาวประมาณ ๑ นิ้ว ประดิษฐานใน “พระสถูปทองคำ” ประดับอัญมณีล้ำค่าตามลักษณะศิลปกรรมแบบจีน
กาลเวลาผ่านไป ขอเราทั้งหลายจงระลึกไว้ว่า “เรากำลังทำอะไรอยู่”
“คำตอบชีวิตปี ๒๕๖๘” อยู่ตรงนั้นแหละครับ!
เปลว สีเงิน
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗