ถอดบทเรียน ‘โรคโกเชร์’ สร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลง สู่การดูแลผู้ป่วยโรคหายากอย่างยั่งยืน วอนภาครัฐอย่าทิ้งผู้ป่วยไว้ข้างหลัง…เร่งผลักดันการเข้าถึงการรักษาโรคหายาก

โรคโกเชร์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ โรคหายาก ที่มีกว่า 5,000 – 6,000 โรค และเป็นหนึ่งในตัวอย่างโรคหายากในกลุ่มแอลเอสดีซึ่งมีมากว่า 50 โรค โดยโรคโกเชร์เป็นเพียงโรคในกลุ่มแอลเอสดีโรคเดียวที่ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาในประเทศไทย เนื่องจากยาได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2556

จากแรงขับเคลื่อนของภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐที่เห็นความสำคัญของการเข้าถึงการรักษาและพิจารณาอนุมัติงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ตลอดจน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมูลนิธิผู้ป่วย ทำให้การเข้าถึงการรักษาโรคโกเชร์ ถือเป็นโมเดลแห่งความหวังของผู้ป่วยโรคหายากอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับสิทธิและยังคงรอโอกาสเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย เพื่อเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

เนื่องในวันโรคโกเชร์สากล (International Gaucher Day) ซึ่งตรงกับทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ศ.พญ. ดวงฤดี วัฒนศิริชัยกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโกเชร์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ เกี่ยวกับโรคโกเชร์ รวมถึงโรคหายากอื่นๆ ในวงกว้าง เพื่อร่วมกันสร้างสังคมคุณภาพโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

โรคโกเชร์ (Gaucher Disease) เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยส่วนใหญ่มักแสดงอาการตั้งแต่เด็ก หรือในบางคนอาจแสดงอาการตอนเป็นผู้ใหญ่ โรคโกเชร์ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด อาการแสดงของโรคโกเชร์รวมถึง ตับม้ามโต อาการทางกระดูก และระบบประสาท ส่วนใหญ่คนไทยมักจะเป็นโกเชร์ชนิดที่ 1 และชนิดที่ 3 โดยแรกคลอดจะดูปกติ แต่พออายุ 1-2 ขวบ อาจสังเกตได้ว่าท้องจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากตับและม้ามโต พบภาวะซีด เกล็ดเลือดต่ำ

โดยทั่วไปแพทย์อาจจะนึกถึงโรคธาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคที่มีอาการใกล้เคียงกันและคนไทยเป็นมากกว่าทำให้ไม่ได้นึกถึงโรคโกเชร์ นอกจากนี้โรคโกเชร์ที่แสดงอาการในเด็ก ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ 3 มีอาการรุนแรงกว่าโรคโกเชร์ที่แสดงอาการในผู้ใหญ่ จึงขอฝากถึงแพทย์ทั่วไปว่าหากตรวจแล้วพบอาการโรคที่ไม่ตรงไปตรงมา ให้สงสัยได้ว่าคนไข้อาจเป็นโรคหายากโรคใดโรคหนึ่ง หรือโรคโกเชร์ ควรส่งต่อให้แพทย์ด้านพันธุกรรมหรือแพทย์โรคเลือด เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

ปัจจุบันสามารถตรวจยืนยันว่าเป็นโรคโกเชร์ ได้ถึง 3 วิธีคือ

1) นำเลือดมาตรวจเอนไซม์เม็ดเลือดขาว โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี สามารถตรวจได้ภายใน 2-3 วันก็ทราบผล

2) ตรวจสารในเลือด หรือตรวจ Lyso-Gb1 เป็นสารที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคโกเชร์ ซึ่งผู้ป่วยโกเชร์จะมีสารชนิดนี้สะสมอยู่ในเลือด และ

3) ตรวจความผิดปกติของยีนเพื่อยืนยันโรคโกเชร์

ทั้งนี้ หากตรวจพบ 1 ใน 3 หรือ 2 ใน 3 วิธีนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นโรคโกเชร์ ปัจจุบันแพทย์จะแนะนำให้ครอบครัวที่มีประวัติหรือมีญาติที่ป่วยเป็นโกเชร์ เข้ารับการตรวจเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากโรคโกเชร์เกิดจากพันธุกรรมจากความผิดปกติของยีนซึ่งมักพบยีนแฝง (หรือพาหะ) ในทั้งพ่อและแม่ จากงานวิจัยในคนไทยตรวจพบคนเป็นพาหะโรคโกเชร์ 1 คน จาก 200 คน หรือคิดเป็น 0.5%

วิธีการรักษาโรคโกเชร์ มี 3 วิธี ได้แก่

1. ยาเอ็นไซม์ทดแทน โดยการให้ยาเข้าทางหลอดเลือดดำทุก 2 สัปดาห์ เพราะยานี้จะทำงานได้ดีประมาณ 2 สัปดาห์ จากผู้ป่วยที่ท้องป่องเหมือนลูกโป่ง พอรักษาไปสักพัก ท้องยุบกลับมาเป็นปกติ ตับม้ามยุบหาย หายจากอาการซีดและเกล็ดเลือดกลับมาเป็นปกติ เด็กโตขึ้นและมีพัฒนาการเช่นเด็กปกติ วิธีนี้จำเป็นต้องได้รับยารักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

2. ยากิน อาจจะยังไม่เหมาะกับผู้ป่วยคนไทยและคนเอเชียเนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นโกเชร์ชนิดที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง การรักษาแบบยากินอาจเหมาะกับชาติตะวันตกที่มีอาการไม่รุนแรงมากเท่าผู้ป่วยไทย

3. การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือด เป็นวิธีที่หายขาดจากโรคได้ แต่ก็มีความเสี่ยง แพทย์จำเป็นต้องพูดคุยกับครอบครัว กรณีที่ปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว เม็ดเลือดสเต็มเซลล์ติด ก็จะต้องให้ยากดภูมิในช่วง 2 ปีแรก หลังจากนั้นคือหายขาด แต่กระบวนการที่จะหาไขกระดูกที่เข้ากันก็ไม่ง่าย ส่วนกระบวนการปลูกถ่ายไขกระดูก ก็มีความเสี่ยง โดยอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 8%

โดยส่วนใหญ่ในประเทศไทย แพทย์จะแนะนำการรักษาแบบผสมผสาน โดยในช่วงแรกที่ร่างกายยังอ่อนแอ แนะนำให้ยาเอ็นไซม์ทดแทนไปก่อนประมาณ 2-3 ปี จนสภาพร่างกายดีขึ้นกลับมาเป็นปกติ ระหว่างนี้ก็หาสเต็มเซลล์ที่เข้ากันได้ไปก่อนแล้วค่อยปลูกถ่ายไขกระดูกในภายหลัง

ในฐานะผู้ปกครองผู้ป่วยโรคโกเชร์ นายบุญ พุฒิพงศ์ธนโชติ ประธานมูลนิธิโรคพันธุกรรมแอลเอสดี เล่าว่าย้อนไปเมื่อ 17-18 ปีที่แล้ว ตอนนั้นลูกอายุ 2 ขวบกว่ามีไข้ขึ้นสูงจึงพาไปโรงพยาบาล โชคดีที่หมอตรวจร่างกายละเอียดและคลำเจอตับม้ามโตผิดปกติ จึงเกิดความสงสัยว่าจะเป็นโรคทางพันธุกรรม ซึ่งก็ใช้เวลาตรวจนานถึง 2 เดือน จนทราบว่าลูกป่วยเป็นโรคโกเชร์ ที่น่าตกใจคือค่ายารักษาโรคนี้สูงถึง 2 ล้านบาทต่อปี และต้องรักษาไปตลอดชีวิต ช่วงแรกเหมือนชีวิตสิ้นหวังคิดวนอยู่ในหัวว่าควรทำอย่างไร และได้ปรึกษาคุณหมอว่าจะรวบรวมคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคหายากที่เกิดจากพันธุกรรมแอลเอสดี ซึ่งนอกจากโรคโกเชร์แล้ว ยังมีอีกหลายโรคมาร่วมพูดคุยกันเพื่อหาทางออก จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งมูลนิธิโรคพันธุกรรมแอลเอสดี มีการจัดตั้งคณะทำงานประกอบด้วยแพทย์ด้านพันธุกรรมและกลุ่มผู้ปกครอง

หลังจากที่ก่อตั้งมูลนิธิฯ คณะทำงานได้รวบรวมสถิติข้อมูลต่างๆ และได้นำเสนอเรื่องไปยังบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อให้พิจารณาบรรจุยารักษาโรคโกเชร์ เนื่องด้วยโรคโกเชร์สามารถรักษาหายขาดได้และไม่เป็นภาระงบประมาณมากนัก โดยในปี 2556 ยาได้ถูกบรรจุเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สามารถเข้าถึงการรักษาและเบิกยาได้ โดยในปีแรกสามารถรักษาผู้ป่วยโกเชร์ได้ถึง 12 คน และปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทั้งสิ้น 23 คน และเคยมีผู้ป่วยโรคโกเชร์ที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกและหายขาดแล้ว 6 คน อย่างไรก็ดี ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการหาไขกระดูกที่เข้ากันได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากเข้ากันไม่ได้ร่างกายจะสร้างปฎิกิริยาต่อต้านและอาจเป็นอันตรายอย่างรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

ศ.พญ. ดวงฤดี กล่าวเสริมว่า โรคหายากในแต่ละโรค จะมียารักษาที่ราคาแตกต่างกันไป บางโรคค่ายารักษา 2-3 แสนต่อปี บางโรคหลักล้านต่อปี ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีและวิธีการรักษาใหม่ๆ เช่น ยีนบำบัด (Gene Therapy) โดยจะมีการปรับแต่งยีนที่ผิดปกติใส่เข้าไปในคนไข้เพื่อให้หายจากโรค รักษาเพียงครั้งเดียวแต่หายตลอดชีวิต ค่ารักษาประมาณ 50–60 ล้านบาท บางคนอาจมองว่าราคาสูงมาก แต่หากเทียบกับค่ารักษาปีละ 2 ล้านบาทต่อคน หากรักษายาวนาน 50 ปี ก็เท่ากับ 100 ล้านบาท เพราะโรคหายากจะต้องรักษาไปตลอดชีวิต ทำให้ต้องใช้งบประมาณมากกว่าหลายเท่า จึงทำให้มีการคิดวิธีรักษาแบบใหม่ คือ ‘ยีนบำบัด’ ฉีดครั้งเดียวแต่หายขาด คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นมาก ครอบครัวและผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน กลับมาใช้ชีวิตปกติและเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติต่อไปได้

แม้ว่าปัจจุบัน โรคโกเชร์ยังไม่มีการรักษาด้วยยีนบำบัด แต่โรคหายากบางโรคมีการรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องให้สังคมไทยรับรู้เพื่อให้คนไข้มีโอกาสเข้าถึงการวินิจฉัยได้รับการรักษาก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งหากเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงแล้วการได้รับยาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก การสร้างการรับรู้ให้กับสังคมเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนไปสู่ภาครัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้ ศ.พญ. ดวงฤดี วอนให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงิน สิทธิประโยชน์ทั้งบัตรทอง บัตรราชการ ประกันสังคม รวมไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกันพิจารณาหารือถึงกระบวนการ และแนวทางใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับการเข้าถึงรักษาโรคหายาก ถึงงบประมาณจะสูง แต่จำนวนผู้ป่วยมีน้อยราย ผลกระทบงบประมาณไม่สูงมาก อีกประการหนึ่ง โรคหายากจำเป็นต้องได้รับการรักษาไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก่อนวัยอันควร

อีกความท้าทายสำคัญ คือ จำนวนแพทย์ด้านพันธุกรรม ซึ่งยังมีน้อยอยู่ ทั้งประเทศไทยมีเพียง 28 คน อยู่ภาคเหนือ 1 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 คน และนอกนั้นอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยปัญหาการเบิกจ่ายไม่ค่อยได้ เช่น ค่าตรวจยีนเบิกไม่ได้ ค่ายารักษาก็เบิกจ่ายไม่ได้ จึงไม่มีใครอยากเรียนสาขานี้ เพราะแพทย์ก็อยากให้คนไข้ได้เข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ยังมีผู้ป่วยโรคหายากอีกมากที่เข้าไม่ถึงระบบสุขภาพของสาธารณสุขไทย

ศ.พญ. ดวงฤดี ฝากไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องว่า ทุกวันนี้ โรคหายากหรือโรคทางพันธุกรรมสามารถรักษาได้ และมีกรอบทิศทางที่ดำเนินการได้ การคัดกรองโรคจะทำให้ตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น ฉะนั้น จึงวอนขอให้ภาครัฐพิจารณาส่งเสริมการผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมเพิ่มเติม เพื่อบรรจุและส่งไปประจำยังเขตสุขภาพ 13 เขตทั่วประเทศ เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพราะยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไร คนไข้ก็สามารถเข้าถึงการรักษาเร็วเท่านั้น และยังเป็นประโยชน์ป้องกันโรคเกิดซ้ำอีกในครอบครัวซึ่งนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งแก่ครอบครัว นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับนโยบายเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณายา และงบประมาณ ให้เข้ากับบริบทของสังคมและสอดคล้องกับนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อเร่งผลักดันการเข้าถึงการรักษาโรคหายากที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและยั่งยืน

ผู้สนใจรับชมคลิปสัมภาษณ์โรคโกเชร์และโรคหายาก ในรายการ Rama Channel ได้ที่ https://youtu.be/E14M39107T0?si=VOgF3m9Egu8JvqWy

Written By
More from pp
ดำรง พุฒตาล เข้าแจ้งความเอาผิด เพจเฟซบุ๊ก The Yello Painting ละเมิดลิขสิทธิ์ และใช้นิตยสารคู่สร้าง คู่สม เป็นเครื่องมือทางการเมือง
นายดำรง พุฒตาล เจ้าของนิตยสารคู่สร้าง คู่สม อดีตสมาชิกวุฒิสภา เข้าร้องทุกข์ กล่าวโทษ กับว่าที่ ร.ต.อ. สายยนต์ ขึ้นนกซุ้ม ตำแหน่ง...
Read More
0 replies on “ถอดบทเรียน ‘โรคโกเชร์’ สร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลง สู่การดูแลผู้ป่วยโรคหายากอย่างยั่งยืน วอนภาครัฐอย่าทิ้งผู้ป่วยไว้ข้างหลัง…เร่งผลักดันการเข้าถึงการรักษาโรคหายาก”