ม.มหิดล วิจัยจุดคุ้มทุนรักษา ‘โรคลมชักในเด็ก’ ด้วยวิธีการผ่าตัด เตรียมยกระดับสิทธิการรักษาในเชิงนโยบาย

“โรคลมชัก” (Epilepsy) คือหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อย การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค แม้สาเหตุบางส่วนเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยบางรายที่ดื้อต่อยากันชัก สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วย “การผ่าตัด” ซึ่งยังคงมีสิทธิการรักษาที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพียงบางส่วน จึงได้นำไปสู่การศึกษาถึง “จุดคุ้มทุน” เพื่อผลักดันสู่การยกระดับสิทธิการรักษาในเชิงนโยบาย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงกิ่งทอง อนุรัตน์ อาจารย์แพทย์ประจำสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันให้การรักษาโรคลมชักในเด็กได้รับการพิจารณายกระดับสิทธิการรักษาในระดับนโยบาย

โดยได้ทำการวิจัยประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของการผ่าตัดลมชักในเด็กที่ไม่ตอบสนองต่อยากันชัก (Cost – Effectiveness Analysis) เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลระหว่างการรักษาโรคลมชักในเด็กด้วยการผ่าตัด กับการรักษาด้วยยากันชัก พบว่าการรักษาโรคลมชักในเด็กด้วยการผ่าตัดมีแนวโน้มคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว เนื่องจากหากผ่าตัดได้ผลดี จะทำให้ครอบครัวผู้ป่วยเด็กโรคลมชักและรัฐบาลไม่ต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากไปกับการรักษาด้วยการรับประทานยารักษาโรคลมชัก เพื่อประคับประคองอาการไปตลอดทั้งชีวิต

อย่างไรก็ดีตามผลงานวิจัยโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงกิ่งทอง อนุรัตน์ และคณาจารย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี อาทิ รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงลัลลิยา ธรรมประทานกุล รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชัยยศ คงคติธรรม และรองศาสตราจารย์ นายแพทย์อัตถพร บุญเกิด ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ “Journal of Clinical Neuroscience” ได้มีการเก็บข้อมูลผลแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ซึ่งอาจจะเป็นข้อกังวลของผู้ปกครอง

พบว่าหากสามารถผ่าตัดรักษาได้เฉพาะจุดโดยไม่กระทบกระเทือนต่อสมองในส่วนอื่น อาจไม่แสดงผลข้างเคียง แต่หากกระทบต่อจุดอื่นด้วย อาจต้องมีการดูแลต่อเนื่องด้วยการทำกายภาพบำบัด ซึ่งส่วนใหญ่ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย และเป็นชั่วคราว

ซึ่งตามสิทธิการเบิกจ่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้กำหนดเพดานของสัดส่วนต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพิ่ม (Incremental Cost – Effectiveness Ratio : ICER) สำหรับการรักษาโรคต่างๆ ไว้ที่ 160,000 บาท ต่อ 1 ปีสุขภาวะ หรือปีที่ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Quality – Adjusted Life Year : QALY)

ในขณะที่การผ่าตัดรักษาโรคลมชักรวมทุกประเภท ณ 3 ปี หลังการผ่าตัดเปรียบเทียบกับกลุ่มที่รักษาด้วยยากันชัก มีสัดส่วนต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพิ่มอยู่ที่ 743,040 บาท ต่อ 1 ปีสุขภาวะ แม้ยังห่างไกลจากความเป็นจริงที่จะผลักดันให้มีการยกระดับสิทธิการรักษาในระดับนโยบาย แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยากันชักลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นการติดตามในระยะยาวอาจจะเห็นผลมากขึ้น

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยโรคลมชักจากบริเวณสมองกลีบขมับ (Temporal lobe) ที่ได้รับการผ่าตัด พบว่ากลุ่มนี้มักได้ผลดีจากการผ่าตัดมาก และได้รับผลกระทบหลังการผ่าตัดน้อย มีสัดส่วนต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพิ่มเพียง 36,568 บาท ต่อ 1 ปีสุขภาวะ ซึ่งพบว่ามีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเพดานจุดคุ้มทุนที่กำหนดไว้ของประเทศไทย

คุณค่าที่ได้จากงานวิจัย ไม่เพียงมอบองค์ความรู้ใหม่อันเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล ยังช่วยจุดประกายแห่งความหวังให้ผู้ป่วยเด็กโรคลมชักที่ดื้อต่อยากันชัก ได้ห่างไกลจากการทุพพลภาพจากข้อจำกัดด้านพัฒนาการทางสมอง และได้เข้าถึงโอกาสที่จะมีชีวิตและอนาคตที่สดใสเฉกเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th

Written By
More from pp
‘ไทยสร้างไทย” บุกสีลม แจก “ยากันลุง” เลือกพรรค ส.เบอร์ 32 หนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย
ช่วงดึกวานนี้ (10 พฤษภาคม 2566) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย เบอร์ 32 พร้อมด้วย...
Read More
0 replies on “ม.มหิดล วิจัยจุดคุ้มทุนรักษา ‘โรคลมชักในเด็ก’ ด้วยวิธีการผ่าตัด เตรียมยกระดับสิทธิการรักษาในเชิงนโยบาย”