เปลว สีเงิน
สงสัยจะบิน “สะสมไมล์”
กลับจาก “ยุโรป-ญี่ปุ่น” แหม็บๆ วันนี้ เศรษฐาบินฮ่องกงอีกแล้ว (๒๘-๒๙ พค.๖๗)!
นี่ถ้าเขาถาม “ยูอยู่ระหว่างถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่งนายกฯ มิใช่หรือ?”
จะตอบเขาว่าไง?
งานอย่าง UBS Asian Investment Conference นั่นน่ะ ให้ “รัฐมนตรีคลัง” เขาไป จะถูกตัวและได้งานมากกว่า
ที่จะไปโชว์ “วิสัยทัศน์”….โชว์อะไร?
โชว์ GDP ไทย “ต่ำสุดในอาเซียน”
โชว์หนี้เสียภาคครัวเรือน สูงถึง ๙๑.๓% ของ GDP
โชว์กึ๋นผู้นำ บริหาร ๑๐ เดือน คนจะอดตายกันทั้งแผ่นดิน?
ไปก็ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ (๒๙ พค.) สำนักงานอัยการสูงสุด นัดทักษิณฟังคำสั่ง
ว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ในคดีมาตรา ๑๑๒
ขืนอยู่ บรรยากาศมัน “หน้าสิ่ว-หน้าขวาน” ไม่ว่าจะสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้อง มีแรงกระเพื่อมกระแทกเศรษฐา-หลักลอยทั้งนั้น
ความจริงคดีนี้ อัยการสูงสุดคนก่อน “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร” ท่านตรวจสำนวนแล้ว
และ “สั่งฟ้อง” ทักษิณด้วยข้อหาตามมาตรา ๑๑๒ ไปแล้ว ตั้งแต่ ๑๙ กันยา.๕๙
แต่ทักษิณยังหนีอยู่นอกประเทศ จึงขอออกหมายจับไว้รอท่า
เมื่อกลับเข้ามาเป็น “นักโทษเทวดา” พนักงานสอบสวนก็ไปอายัดตัวไว้กับกรมราชทัณฑ์
ทักษิณปฎิเสธข้อหา ทำหนังสือร้องของความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน
ขณะนี้สำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด
อัยการสูงสุด สั่งเลื่อนฟังคำสั่งมาครั้ง นัยว่าประเด็นที่สั่งให้สอบเพิ่มเติมยังไม่สมบูรณ์
พรุ่งนี้ (๒๙ พค.) เป็นการนัดฟังคำสั่งครั้งที่ ๒ สำนวนจะสมบูรณ์และอัยการสูงสุดจะสั่งคดีได้หรือยัง เดี๋ยวก็รู้
ก็ไม่น่าจะเลื่อนนะ
เพราะ “ยิ่งเลื่อน-ยิ่งหนาว” สังคมจับจ้อง-มองตาอัยการกันมาก
ในเมื่ออสส.คนก่อน “สั่งฟ้อง” ไปแล้ว
แค่ประเด็นใหม่ตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมยื้อเวลา เป็นครึ่งปี ยังสอบเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ไม่ได้ซักที
จะไม่ให้สังคมทะแม่ง มันก็ห้ามยาก!
ฉะนั้น ถ้าพรุ่งนี้ อสส.คนปัจจุบัน จะ “สั่งฟ้อง” ก็เป็นเรื่องไม่ขัดแย้งทัศนคติสังคมบนฐาน “ครรลองธรรม”
แต่ถ้า “สั่งไม่ฟ้อง” จะมีคำถามเชิงฉงนกับมาตรฐานอัยการซึ่งเปราะบางอยู่แล้วทันที
ในเมื่อ อสส.ท่านหนึ่ง “สั่งฟ้อง” ในสำนวนคดีเดียวกัน แต่อีกท่านหนึ่งกลับ “สั่งไม่ฟ้อง”!?
ผมค่อนข้างเชื่อ….
คำว่า “อสส.” ต้องไม่เลื่อนไหลลงไปเป็น “อตส.” แน่!
เรื่องร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุดนี่
ผมเคยมีประสบการณ์ ในยุคทักษิณเป็นนายกฯ โน่นครั้งหนึ่ง
สุดท้าย ท่านก็ “สั่งฟ้อง”
อัยการเจ้าของคดีบอกผมตอนนำตัวไปฟ้องคดีต่อศาลว่า
“ผิด-ถูกให้ไปว่ากันในศาล”!
ผมยังจำติดหู ทั้งที่ยุคนั้น ถูกคดีจนหูอื้อ เหตุที่ผมร้องขอความเป็นธรรม เพราะเรื่องผิดพลาดตรงหัวข่าวมีอักษรตกหล่นเท่านั้น
ตกหล่นในกระบวนการผลิต ไม่มีใครเจตนา แต่อย่างว่า ลูกเข้าตีนฝ่ายโจทย์เขา ผมแม้ไม่เกี่ยว แต่มีชื่อเป็นผู้บริหาร
ชื่อผม มันตรงสเปกเขา ก็ไม่ว่ากัน!
ที่ทักษิณไปพูดก้าวล่วงสถาบันที่เกาหลีใต้จนถูกฟ้องนี่ก็ทำนองนั้น ทนายอ้างว่าทักษิณไม่มีเจตนา
ผมก็ “ไม่มีเจตนา” แต่สุดท้าย อัยการท่านว่า “ผิด-ถูกไปว่ากันในศาล”
แล้ววันนี้ ไม่มีเจตนาของทักษิณ
อัยการจะใช้มาตรฐาน “ผิด-ถูกไปว่ากันในศาล” เหมือนคดีผมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
หรือ “ไม่เจตนา” ของทักษิณฟังขึ้น อสส.สั่งไม่ฟ้อง มันก็อาจเป็นได้
ไม่อีกที พรุ่งนี้ “สั่งเลื่อน” ฟังคำสั่งคดี เป็นครั้งที่ ๒ ที่ ๓ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ
การเมืองเรื่องรัฐบาล เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นตัวแปร ทุกอย่างทำให้ยากคาดเดาทางอนาคต
คาดเดาได้อย่างเดียวคือ “บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง” แน่!
แต่จะเปลี่ยนไปรูปแบบไหน ใครจะเข้ามาคุม “ทิศทางบริหาร ประเทศ?
ยังคาดเดาไม่ได้ “สะเปะ-สะปะ” ละก็พอได้!
ที่ทักษิณว่า “ลี้ลับ” น่ะ มีส่วนจริงและทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ลี้ลับ”
พอ “คลำทิศ-คลำทาง” ได้ นั่นต้องรอดูคำสั่งอสส.ในคดีมาตรา ๑๑๒ ที่ทักษิณเป็นผู้ต้องหาก่อน
แล้วไปรอดูวันที่ ๒ มิย. “นัดสุดท้าย” ที่พรรคก้าวไกลต้องยื่นคำแก้ข้อกล่าวหาคดียุบพรรค
คอยฟังว่า ศาลฯ ท่านจะนัดฟังคำวินิจฉัยวันไหน?
คดีถอดถอนเศรษฐาจากนายกฯ ในเรื่องจริยธรรมร้ายแรง นั่นยังไม่เท่าไหร่
ถ้าผิด ก็เป็นความผิดเฉพาะตัว หัวรัฐบาลหลุด แต่ตัวรัฐบาลยังอยู่ หาหัวมาสวมใหม่ได้
อีกอย่าง โลกรู้ เศรษฐาแค่หุ่น ทักษิณตะหาก “นายกฯ ตัวจริง” และยังอยู่
ดังนั้น เศรษฐาหลุดไป จึงไม่มีน้ำหนักทางจุดผกผันซักเท่าไหร่
ถ้าก้าวไกล “ถูกยุบ” นั่นแหละ ด้วยน้ำหนัก ๑๕๐ สส.เคลื่อนย้ายไปทางไหน มีผลทางเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า
สมมติ มีการ “ยุบสภา”
ก้าวไกลต้องรีบไปกราบตีนขอบคุณทักษิณเขาซะ เพราะการเล่นเกินบทของทักษิณนี่แหละ แทนที่จะสร้างศรัทธาให้เพื่อไทย
ตรงกันข้าม ความหมั่นไส้ ในอหังการเหนือบ้าน-เหนือเมืองของทักษิณ
กลับเป็นตัวช่วยให้คนหันไปเลือกพรรคก้าวไกลหวัง “ตบหน้า” เพื่อไทย-ทักษิณ มากขึ้น
แต่น่าเสียดาย ก้าวไกลเข้าตำรา “เรือล่มเมื่อจอด-ตาบอดเมื่อแก่”
จะได้เป็นรัฐบาลให้เต็มก้นกะเขาซักที บุญเก่ามี แต่กรรมใหม่ “กระบวนการล่มชาติ” มาบัง อาจถึงขั้นถูก “ยุบพรรค” ซะก่อน
อะไรไม่ว่า “พิธา” น่ะซี เป็น “นายกฯ ว่าว” ก็ยังพอได้ชักอวด
แต่ถ้าพรรคถูกยุบ พิธาจะเป็น “ว่าวขาดลอย” ร่วงผลอย จากสภาไปเลย
สส.ยังไปหาพรรคสังกัดใหม่ได้ แต่ผู้บริหารพรรค “ตายตามพรรค” ไปเลย
มีใครบ้างล่ะ กก.บห.ชุดพิธาน่ะ ลองสำรวจชื่อดูหน่อย
กรรมการบริหารพรรคยุคพิธา(๒๕๖๓-๒๕๖๖)
๑.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค
๒.ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค
๓.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค
๔.ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียน
๕.ปดิพัทธ์ สันติภาดา
๖.สมชาย ฝั่งชลจิตร
๗.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล
๘.อภิชาต ศิริสุนทร
๙.เบญจา แสงจันทร์
๑๐.สุเทพ อู่อ้น
โอ้….ทั้ง ๒ พระเอกสามนิ้ว “พิธา-ชัยธวัช” ไปด้วยกันทั้งคู่
ยังดีนะ ที่นางเอก “คุณไหม-ศิริกัญญา” และพี่วิโรจน์ ตัวโกรง ยังอยู่เป็นกระสายยา ใช้ชูธง ๓ นิ้วสู้ใหม่ ในพรรคใหม่ ยังพอได้อยู่
ก็ตรงหัวเลี้ยว-หัวต่อนี่แหละ
ทักษิณจะเล่นบทถนัด กวาดต้อนไปเข้าคอกเพื่อไทยได้มากซักกี่สส.ตรงนี้ จะเป็นจิ๊กซอว์ “อำนาจใหม่” ระบอบทักษิณ
การตอนพรรคอื่นๆ ให้ยุบมารวมกับเพื่อไทย ทักษิณเคยทำมาแล้วในสมัย “ไทยรักไทย”
ขนาด “พรรคความหวังใหม่” ของพลเอกชวลิต ตอนนั้นเป็นพรรคใหญ่ มีสส.ร้อยกว่าเสียง
ยังเสร็จทักษิณ
บิ๊กจิ๋วต้อง “ยุบพรรค” พร้อมพรรคเล็ก-พรรคน้อยไปรวมไทยรักไทย เป็น “รัฐบาลพรรคเดียว” คุมประเทศ
ประวัติศาสตร์จะซ้ำร้อยอีก ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
พรรค “พลังประชารัฐ” ลุงป้อมของผมนี่ก็เถอะ ประเมินว่าอยู่ใน “แผนรวมพรรค” ของทักษิณแล้วด้วยซ้ำ
เพราะลุงป้อม อย่างเก่ง “รอบนี้-รอบเดียว”
รอบหน้า ก็คงไม่ไหวแล้ว!
ยิ่งดูลึกลงไป ทุกวันนี้ “ธรรมนัส” ก็ไม่ต่างตัวแทนทักษิณเข้าไปคุมกลไกพลังประชารัฐ ไม่ยุบรวมก็เหมือนรวมในทางพฤตินัยเห็นๆ อยู่
ฉะนั้น ในการเมืองเปลี่ยน “เฉพาะกิจ” ใครที่ปรามาส ลุงป้อมเป็นนายกฯ ไม่ได้ ระวัง ลุงป้อมจะหัวเราะเยาะ!
แผนทักษิณ “หุงข้าววันนี้-ไปกินพรุ่งนี้”
ฉะนั้น ใครพอมีต้นทุนเอามารวม อยากเป็นหุ่น เอาตำแหน่ง “นายกฯ วันนี้” ไปเลย
เพราะทักษิณมีประสบการณ์แล้ว รู้ว่า “อรุณรุ่งพรุ่งนี้” ย่อมดีกว่า “ตะวันบ่าย” ในวันนี้เสมอ!
เปลว สีเงิน
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗