16 พฤษภาคม 2567 นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายจะนำข้าวจากโครงการจำนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดัง ซึ่งมีอายุกว่า 10 ปี ออกมาประมูลขาย ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น ว่า
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 มาตรา 46 บัญญัติว่า สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง นอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 กำหนดว่า ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และมีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 70/186 ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค (United Nations General Assembly on Consumer Protection) ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558 มีสมาชิกรับรองรับทราบกว่า 193 ประเทศ ซึ่งในภาคผนวก (Annex) ข้อ 3.5 กำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจเลือกบริโภคสินค้าและบริการตามความต้องการของตัวเอง และต้องได้รับความคุ้มครองจากอันตรายใด ๆ ที่อาจเกิดกับสุขภาพของตน
ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการนำข้าที่มีอายุกว่า 10 ปี ไปขาย ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือประเทศใด ๆ ในโลก ต้องมีการแสดงฉลากอย่างชัดเจนว่าเป็นข้าวที่มีอายุกว่า 10 ปี เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้รับทราบข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง และต้องมีการขอการรับรองจากหน่วยงานที่ดูแลด้านอาหารและสุขภาพของประเทศปลายทาง (คล้าย อ.ย.) เพื่อให้สามารถวางขายได้ และผู้บริโภคมีความมั่นใจว่าข้าวดังกล่าวสามารถบริโภคได้โดยปราศจากอันตรายหรือผลกระทบใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของตนไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว
ตนจึงขอให้รัฐบาล พิจารณาให้ถ้วนถี่ ทั้งข้อกฎหมายภายในประเทศ และระหว่างประเทศ ก่อนตัดสินใจนำข้าวล้อตนี้ออกจำหน่าย เพราะหากเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะในต่างประเทศ จะทำให้สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำมาตลอด คือการออกเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ด้วยงบประมาณของรัฐ เพื่อชักชวนนักลงทุน และโปรโมทซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศไทย จะสูญเปล่า เพราะต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และมาตรฐานของไทย”