‘ไทย’ เข้าสู่ ‘วิไลยุค’ – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ใกล้ “สงกรานต์” เข้ามาแล้ว
เราวางชาติที่ “แบกไว้บนบ่า” ลงบ้างก็ได้นะ
จะได้ “เบาตัว-เบาใจ”
นี่ไม่ใช่ท้อแล้วประชดว่า “บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว” อย่างนั้นหรอก!
หากแต่ว่า “ทั้งคนคด-ทั้งคนตรง” ต่างมี “บทชีวิต” ของตัวเอง เป็นเส้นทางเดิน

ฉะนั้น เมื่อถึงช่วงให้แต่ละคนใช้ “บทชีวิต” นำไปสู่คำตอบ ก็ปล่อยกันไป ส่วนจะดีหรือจะเลวนั้น
ขึ้นอยู่กับ “บทใคร-บทมัน”

เพราะ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือกฎธรรมชาติหรือที่เรียก “กฎกรรม”
“กฎกรรม” เที่ยงตรงและแม่นย่ำเสมอ

ต่อไปนี้ ถึงเวลา “กรรม” จะเป็นผู้ทำหน้าที่ให้คำตอบประเด็นว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ”
ซึ่ง “ลิขิตกรรม” จะเป็นคำตอบสุดท้ายของ “แต่ละชีวิต” ว่าจริงมั้ย?

ก็สังเกตดู ตอนนี้ ทุกการกระทำมนุษย์ กำลังเดินเข้าสูตร
“ยัง กัมมัง กะริสสันติ” ใครทำกรรมอันใดไว้
“กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา” ดีหรือชั่ว
“ตัสสะ ทายาโท (ญ.ทา) ภะวิสสันติ” จะเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

เห็นมั้ย….
หลายๆ คน “เข้าคุก-ออกคุก” บางคนเห็นยืนชูนิ้วอยู่ดีๆ ข่าวมาอีกที อ้าว….ไปซะแล้ว!!

พวกเจ้าหน้าที่รัฐ ประเภท “กังฉิน-หน้ากากทองคำ” อยู่ดี-กินดี-มียศ-มีเกียรติ กันมานาน
ก็เตรียมตัว-เตรียมใจ “มียศ-เสื่อมยศ, มีลาภ-เสื่อมลาภ, มีอำนาจ-เสื่อมอำนาจ”
ที่ไม่เสื่อมมีอย่างเดียว คือ “มีคดี-จะเจริญคุก”!

“ผู้มากบารมี” ทำตนอยู่เหนือ “๓ สถาบันหลัก” ของชาติ นั่นเหมือนกัน
เป็นอภิบุคคล “เหนือประเทศ-เหนือกฎหมาย”

เหนือได้ ก็เหนือไป
แต่ถ้า “เหนือกรรม” ได้ด้วยละก็ อนุสาวรีย์เพื่อเขย่าติ้วเขย่าตีนตบกลางสะดือเมืองเชียงใหม่ ต้องมีกันเลยทีเดียว!

ประเทศไทย ช่วงนี้
เปรียบ “ผ้าขาวผืนใหญ่” เผอิญมีเสนียดเป็นจุดดำเล็กๆ อยู่จุด เราอย่าไปเพ่ง ชนิดเอาจิตผูก เพราะมันจะทำให้ใจเราเศร้าหมอง
เสียฤกษ์ “สงกรานต์” เปล่าๆ

มองข้ามไปก่อน “ตามอง-จิตตั้ง” ที่สีขาวสะอาดของผ้าผืนใหญ่ทั้งผืน แล้วความเป็น “มงคลชีวิต” จากสงกรานต์ จะทำให้เราจำเริญ

เชื่อผมเถอะ ประเทศไทยเรานั้น นอกจาก “พุทธานุภาพ-ธรรมานุภาพ-สังฆานุภาพ” คุ้มครองแล้ว
“เทพไท้เทวา” ท่านก็สถิตรักษาถ้วนทั่วไทย ทั้ง ๘ ทิศ!

ก็ไม่เห็นหรือ……
เป็นบุญวาสนาของ “ประเทศไทย-คนไทย” ขนาดไหน อันยากจะหา
ที่ “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้าย-ขวา “พระโมคคัลลานะ-พระสารีบุตร”

ด้วยกายธาตุ “พระบรมสารีริกธาตุ” แห่งพระพุทธองค์ และ “อรหันตธาตุ” แห่งอริยอัครสาวกทั้งสองพระองค์
เสด็จมาให้ประชาชนคนไทยได้สักการะ บูชา กราบไหว้ เป็นมงคลสูงสุดของประเทศและของประชาชนยิ่งนักแล้ว

อันใครเล่าจะคาดคิดว่า……
ใน “ภพนี้-ชาตินี้” ประเทศไทย-คนไทย จะอยู่ใน “ข่ายพระจักษุ” แห่งพุทธองค์ และเสด็จมาโปรดถึงปฐพีสุวรรณภูมิไทย

ก็รับรู้กันไว้เถิดว่า
นี้เป็นการ “ปิดนรก-เปิดสวรรค์” ให้แก่ผู้เข้าถึงธรรมโดยแท้แล้ว

ต้องขอบคุณ “กระทรวงวัฒนธรรม” เขานะ
กระทรวงนี้ ตราบที่ “ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” เป็นปลัดกระทรวง ใครมาเป็นรัฐมนตรี ถือว่า “โชคดี” สุดๆ

แค่บอกนโยบายมา….
“ปลัดยุพา” จัดการเสร็จสรรพ ทั้งงาน “ระดับโลก-ระดับชาติ” อะไรๆ ที่ตีทะเบียน “มรดกโลก” ได้ เบื้องหลังความสำเร็จ ก็ “ปลัดฯ หญิง” ท่านนี้แหละ!

ปีนี้ เฉลิมพระชนมพรรษา “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ครบ ๖ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
รัฐบาลไทย โดย “นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม

“นายสุภชัย วีระภุชงค์” เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐, ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงฯ, นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และนายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา

เห็นพ้องต้องกันว่า…….
สิ่งเป็น “อภิมหามงคล” ยิ่ง ในวาระเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๖ รอบปีนี้ ไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า
การอัญเชิญ “พระบรมสารีริกธาตุ” และ “พระอรหันตธาตุ” ของ “พระสารีบุตร” และ “พระโมคคัลลานะ”

ตามโครงการ “ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ” จากมหานทีคงคา สู่ลุ่มน้ำโขง
จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เพื่อการนี้

ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล “สาธารณรัฐอินเดีย” โดย “H.E. Mr. Nagesh Singh” เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เป็นอย่างดียิ่ง

มอบ “พระบรมสารีริกธาตุ” และพระอรหันตธาตุ “พระสารีบุตร” และ “พระโมคคัลลานะ” องค์ดั้งเดิม
ที่ค้นพบในสถูปโบราณ เมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองสาญจี มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ไทย เพื่อการเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
เห็นแล้วปลื้มปีติ…….

เกิดมาชาติใด-ภพใด ขอได้เกิดในแผ่นดินไทย และได้พบพระพุทธศาสนา แค่ภาพประชาชนในชุดขาว เดินเวียนสักการะนับเป็นแสนๆ คน

เห็นครั้งใด ต้องยกมือไหว้ น้อมใจไปกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์ และองค์อัครสาวกทั้งสอง ทุกครั้งไป

จากสนามหลวง ๒๔ ก.พ.-๓ มี.ค.
๕-๘ มีนา.อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ ให้พี่น้องชาวเหนือได้สักการบูชา
ก็หลั่งไหลไปสักการบูชากันเป็นแสนๆ คน

๑๐-๑๓ มีนา.คือขณะนี้ จากเชียงใหม่ อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดมหาวนาราม อุบลราชธานี
พี่น้องชาวอีสาน ไม่รู้อีกกี่ภพ-กี่ชาติ พระศาสดาเจ้าพร้อมพระอัครสาวก จะเสด็จมาโปรดถึงที่เช่นนี้อีก
อย่าละทิ้งโอกาสอันชีวิตนี้หาไม่ได้อีกแล้ว ไปน้อมเศียรเกล้าสักการบูชากันเกิด

๑๕-๑๘ มีนา.วารโอกาสของพี่น้องชาวใต้ ได้อัญเชิญจากอุบลฯ ไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล กระบี่ เป็นจุดสุดท้าย

ก็ไปกราบสักการะกันนะครับ อาจมีคนถามว่า กราบสักการะแล้วได้อะไร?

ตาม “พระไตรปิฎก” เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
“ธาตุปูชกเถราปทาน” ที่ ๖
ว่าด้วยผลแห่งการบูชา “พระบรมสารีริกธาตุ” มีดังนี้

“เมื่อพระโลกนาถผู้นำของโลกพระนามว่า ‘สิทธัตถะ’ ปรินิพพานแล้ว
เราได้นำพวกญาติของเรามาทำการบูชาพระธาตุ ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้
เราได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระธาตุ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว … พระพุทธศาสนา
เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้”

“ทุคติ” ที่ว่านั้น หมายถึง “นรก” นั่นคือ ได้บูชาพระธาตุแล้ว “ไม่รู้จักทุคติ” คือ “ไม่ตกนรก” นั่นเอง!

ความรู้เกี่ยวกับ “พระบรมสารีริกธาตุ”……..
ตอนหนึ่งในเพจ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” วิทยาเขตขอนแก่น ท่านว่าไว้ ดังนี้

เหตุเกิดพระบรมสารีริกธาตุ
การเกิดของพระธาตุเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เพราะกระดูกที่เผาไฟหรือยังไม่เผาไฟก็ดี
สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลึกรูปร่างต่างๆ สีสันสวยงาม คล้ายกรวด คล้ายแก้ว แม้กระทั่งผม เล็บ ฟัน ก็สามารถแปรเป็นพระธาตุได้

เช่น ตามคำอธิษฐานก่อนนิพพาน ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎก ตลอดทั้งตำราพระธาตุโบราณ ได้กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เกิด “พระบรมสารีริกธาตุ” ว่า

เป็นพุทธประสงค์ของ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งจะแตกต่างกันไปแต่ละพระองค์ โดยแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ

๑.พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนยาว สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
พระบรมสารีริกธาตุ จะมีลักษณะรวมกันเป็นแท่งเดียว ดุจทองธรรมชาติ

๒.พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุไม่ยืนยาว เช่น พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ซึ่งมีเวลาปฏิบัติพุทธกิจเพียง ๔๕ ปี

นับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้า ได้ทรงอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แตกย่อยลงกระจายไปในที่ต่างๆ เพื่อที่พุทธศาสนิกชน จะได้นำไปเคารพสักการะ และเพื่อเป็นพุทธานุสติ และธัมมานุสติ

“พระบรมสารีริกธาตุ” ของพระพุทธเจ้า “ทุกๆพระองค์” ได้ประดิษฐานอยู่บน “มนุษยโลก” ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
จนเมื่อพระพุทธศาสนาได้เสื่อมลง พระบรมสารีริกธาตุก็จะอันตรธานไป จึงเรียกว่า “ธาตุอันตรธาน”
หมายถึงพระบรมสารีริกธาตุได้หายไป ไม่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าสูญสิ้นไปจากโลก

ดัง “พระพุทธดำรัส” ที่ตรัสกับ “พระอานนท์” ว่า
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ผู้ประสงค์จะเห็นพระพุทธเจ้า…..
ขอให้อธิษฐานจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
กล่าวคำอธิษฐานขอให้พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา ณ ภาชนะหรือสถานที่เหมาะสม ซึ่งจัดเตรียมเอาไว้
เมื่อทำความดีถึงขั้น พระบรมสารีริกธาตุ ก็จะเสด็จมาตามที่ปรารถนา

ครับ…ก็ให้ท่านตรองและคิดเอาก็แล้วกันว่า
เมื่อพระพุทธองค์และอัครสาวก ด้วยกายธาตุ เสด็จมาโปรดเช่นนี้แล้ว
ผู้คิดโดยชอบ กระทำต่อชาติบ้านเมืองกอปรโดยธรรม
จะตกต่ำได้อย่างไร?

“อสัตย์ชาติ” เท่านั้นที่ “สวรรค์ปิด-นรกเปิด” รออยู่!

เปลว สีเงิน
๑๑ มีนาคม ๒๕๖๗

 

 

Written By
More from pp
สบส.เปิดสถิติผู้ออกกำลังกายช่วงโควิด 19
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดผลสำรวจการออกกำลังกายช่วงโควิด 19 ซึ่งวิถีใหม่ ที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ประชาชนมีทัศนคติ ไม่ถูกต้องสูงสุดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย คือ เรื่องไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเมื่อเหนื่อยจากการ...
Read More
0 replies on “‘ไทย’ เข้าสู่ ‘วิไลยุค’ – เปลว สีเงิน”