เปลว สีเงิน
เรื่องไทยจะ “เสียดินแดน” นั่นน่ะ ผมว่าไม่ต้องคิดหรอก
ตราบใด ที่ยังมีคนไทย ตราบนั้น มันเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน!
แต่ที่เกิดขึ้นได้แน่ คือ
การ “เสียแผ่นดิน” ให้ต่างชาติ โดยคนไทยเรากันเองนี่แหละ สมคบและรู้เห็นเป็นใจ ให้ต่างชาติเป็นเจ้าเข้าครองที่ดินบ้าง เป็นนอมินีถือกรรมสิทธิ์แทนให้บ้าง
ไม่ช้า คนไทยอาจต้องเช่าที่ต่างชาติทำนา-ทำไร่ อาชีพทั้งหลาย ต่างชาติเป็นนายทุน
การทำมาค้าขาย ไม่แย่งอาชีพคนไทยหรอก เพราะคนไทย อยากเป็นดารา เป็นนางงาม มากกว่าการค้า-การขาย
และมากมาย ต่างชาติตั้งแก๊งมาเฟีย ก่ออาชญากรรมทั้งในชาติและข้ามชาติ โดยคนไทยเป็นลูกมือ-ลูกตีน
มีคนใน “ระบบราชการ” บางคน เป็นแบ็ก!
แต่ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ เพราะซื้อที่ดิน ซื้อวิลลา ซื้อคอนโดฯ มันแบกเอากลับไปไม่ได้ ยังไงๆ อสังหาริมทรัพย์เหล่านั้น มันก็อยู่ที่เดิม
แล้วเห็นมั้ย หลายต่อหลายราย โดยเฉพาะต่างชาติเมียไทย อยู่ๆไป วันดี-คืนดี “หัวใจวาย” ไปซะงั้น
คนออกเงินซื้อ ได้หลุมฝัง ส่วนคนออกชื่อถือกรรมสิทธิ์ได้ที่ดินทั้งผืนคืนไทย!
ที่น่าห่วงและเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตอันใกล้ นี่ตะหาก ถึงไม่ทำให้ “สิ้นชาติ”
แต่จะเสีย “ประชาชาติ” ถึงขั้นทำให้ประเทศ “ถูกคนชาติอื่น กลืนชาติไทย” ได้ ซึ่งมีโอกาสสูง ถ้าเราทุกคนไม่ตระหนัก
และไม่เปลี่ยนทัศนคติเรื่อง
“เอาผัว-เอาเมีย” แต่ “ไม่เอาลูก”!
สังคมคนรุ่นใหม่ นิยมสไตล์นี้ ถ้าไม่สร้างแรงจูงใจให้หันกลับมาช่วยกันขยายเผ่าพันธุ์ไทย ชาติในอนาคตมีปัญหาแน่
ต้องตั้งเป้าหมายและรับรองอนาคตลูกให้เขา แต่งงานแล้ว “ปั๊มลูก” คู่ละซัก ๒-๕ คน ไม่ต้องกังวลเรื่องเลี้ยงดู และการศึกษา
คือปัจจุบันนี้ ประเทศไทย เด็กเกิดน้อยมาก ขณะเดียวกัน “คนแก่” ก็เพิ่มมาก จนไทยใกล้เป็นประเทศ “ปู่โสม”
คนไทยตอนนี้ มีราวๆ ๖๖ ล้านคน
“พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล” จากกรมอนามัย เผยข้อมูล จากสถิติสาธารณสุขปี ๒๕๖๕ ว่า…
“เด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือเพียง ๔๘๕,๐๘๕ คน เป็นจำนวนการเกิด “ต่ำที่สุด” เป็นครั้งแรก ในรอบ ๗๐ ปี
สวนทางกับจำนวน “ผู้สูงอายุ” ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี ๒๕๖๕ มีผู้สูงอายุมากถึงกว่า ๑๒ ล้านคน
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในปี ๒๖๒๖ คือ ๖๐ ปีจากนี้ คนไทยจาก ๖๖ ล้านคน จะลดเหลือเพียง ๓๓ ล้านคน และคนสูงอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป จะเพิ่มจาก ๘ ล้านคน เป็น ๑๘ ล้านคน
ส่วนวัยทำงานอายุ ๑๕-๖๔ ปี จะลดลงจาก ๔๖ ล้านคน เหลือเพียง ๑๔ ล้านคน
หมายถึง “จำนวนแรงงาน” ที่ลดลง ผลผลิตโดยรวมประเทศลดลง ภาษีที่จัดเก็บได้ลดลง
ขณะที่ประชากรวัยเด็กอายุตั้งแต่ แรกเกิด-๑๔ ปี จะลดจาก ๑๐ ล้านคน เหลือเพียง ๑ ล้านคน”!
ตอนผมเรียนประถม ๑ ครูให้ท่อง คนไทยมี ๒๕ ล้านคน ผ่านไป ๘๐ ปี ถึงวันนี้ คนไทยมี ๖๖ ล้านคน
แต่อีก ๖๐ ปีข้างหน้า จาก ๖๖ ล้านคน คนไทยจะเหลือแค่ ๓๓ ล้านคน
แบบนี้ ประเทศไทยในอนาคต ถูกฝรั่ง-ต่างชาติ พม่า-เขมร และชนเผ่า “กลืนชาติ” จนคนไทยกลายเป็น “คนส่วนน้อย” แน่ๆ
คิดแล้ว “ใจหาย” เนอะ!
แต่ใจชื้นขึ้นหน่อย เพราะเห็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
“นายวราวุธ ศิลปอาชา”……
ตระหนักรู้ปัญหา ถ้าปล่อยให้แผ่นดินสิ้นคนไทย แล้วชาติไทย จะดำรงคงมั่นอยู่ได้อย่างไร?
วานซืน จึงเห็นท่านระดมคนผู้เห็นปัญหาทุกภาคส่วน มาร่วมประชุมเชิงปฎิบัติการด้วยกัน ในหัวข้อ
“พัฒนาความมั่นคงครอบครัวไทย ผ่านพ้นภัยวิกฤตประชากร” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
มีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการจุฬาอารี World Bank
และผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน เครือข่าย NGOs องค์กรประชาสังคม
รวมถึงองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ สื่อมวลชน ผู้มีอิทธิพลทางความคิดในสังคมหลากหลายท่าน มาช่วยกันคิด-ช่วยกันแก้
เรื่องนี้ “พูดแล้วจบ” ปัญหามันไม่จบ ต้องลงมือทำจริงและทำต่อเนื่อง
รัฐมนตรีวราวุธ ท่านยังหนุ่ม มีศักยภาพ ทั้งยังเป็นความหวังของสังคมประเทศในทางการเมืองในอนาคต
ฉะนั้น…อย่าทิ้ง!
ปัญหานี้ เฉพาะพม.หรือกระทรวงใด-กระทรวงหนึ่งแห่งเดียว แก้ไม่ได้ มันเป็น “ปัญหาระดับชาติ” ที่ต้องปลุกให้ทุกคนตระหนักรู้และช่วยกัน
นั่นคือ ทั้งองคาพยพรัฐและราษฎร์ ต้องร่วมมือ-ร่วมใจ โดยเฉพาะภาครัฐ โดยรัฐบาล ต้องมี “พิมพ์เขียว” เป็นแผนเชิงยุทธศาสตร์เป็น “รูปธรรม” ในระยะยาวเป็นภาคปฎิบัติต่อเนื่อง
“ประเทศไทย” วันนี้ โปรดรับรู้กันไว้….
เป็นประเทศเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” สมบูรณ์แล้ว!
คนเกิดน้อย หมายถึงแบตเตอรี่ประเทศเริ่มอ่อน ทรัพยากรบุคคลจะมีเข้าสู่ระบบการเรียนก็น้อย
นั่นหมายถึงอนาคตประเทศ จะร่อยหรอ “พลังงานสร้างชาติ” ในทุกสาขาระบบงาน
ขณะเดียวกันภาระจาก “คนสูงอายุ” ที่รอการช่วยเหลือด้านสวัสดิการจากรัฐ ก็เพิ่มขึ้นทุกปี
แล้วรัฐจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย ในเมื่อคนวัยเข้าสู่ระบบงานมีน้อย การลงทุนก็น้อยตาม เพราะทรัพยากรบุคคลไม่มี เขาก็ไปลงทุนประเทศอื่น
ผลร้ายที่ตามมาคือ รัฐบาล “เก็บภาษีได้น้อย” ในขณะที่ต้องหาเงินไปเลี้ยงดูคนแก่มากขึ้น
ก็คิดเอา ว่าประเทศชาติของเราที่อัตราส่วนประชากร “เกิดใหม่-เข้าระบบศึกษา-สู่ระบบงาน และสู่คนวัยชรา” ไม่สมดุลกัน
แล้วจะอยู่ได้อย่างไร ในสภาพประเทศ “ถั่วงอกหัวโต”!
ได้ยินรัฐมนตรีวราวุธบอก….
กำลังจัดทำ “สมุดปกขาว” ประเด็น “พัฒนาความมั่นคงครอบครัวไทย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์” เสนอครม. ภายในเดือนเมษา.นี้
ถ้าให้ความเห็นชอบ จะนำไปเสนอในการประชุม “คณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ”
ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ระหว่าง ๒๙ เมย.-๓ พค.๖๗
ผมดูตัวเลขที่รัฐมนตรีวราวุธนำเสนอ เห็นว่าคนสูงอายุในภาคกลางและภาคอีสาน “มากที่สุด” ถึงระดับ ๓๐-๔๐%
คนแก่ “น้อยที่สุด” ที่ไหน รู้มั้ย…
“ภาคใต้” ครับ มีแค่ ๑๒.๓๙% เท่านั้น
ผมก็อยากรู้ ว่าในภาคใต้ มีจังหวัดไหน ผู้สูงอายุน้อยที่สุด ก็พบว่าที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ “นราธิวาส,ปัตตานี,ยะลา”
ตอบโจทย์ “ประชากรศาสตร์” ชัดเลย!
เรื่อง “คุมกำเนิด” นี่แหละ ปฐมเหตุ
ปี ๒๕๑๕ ไทยไปเชื่อไอ้กันมันหลอก ให้เงินมาก้อน ก็รณรงค์กันยกใหญ่ “มีลูกมากจะยากจน” พากันคุมกำเนิดไปทั่ว
ในรอบ ๑๐-๒๐ ปี ประชากรศาสตร์ “ขาดตอน” เพราะเด็กเกิดใหม่ “ลดฮวบ”
ยิ่งสังคมยุคใหม่ปัจจุบัน ระดับชั้นคนรวย-คนมีอันจะกิน เกิดแฟชั่น “เอาผัว-เอาเมีย” แต่ “ไม่เอาลูก”
ในระดับล่าง-ระดับตีนถีบปากกัด บอกว่า “มีลูก ๑ คน จนไป ๑๐ ปี” ไม่มีปัญญาเลี้ยง โตขึ้นก็ไม่มีเงินให้เรียน จึงไม่เอาลูก
นี่คือ ๒ โจทย์ใหญ่ คนมีเงิน ไม่ต้องการมีลูก
คนไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องการมีลูก เพราะไม่มีปัญญาเลี้ยง
ท่ามกลางที่ “มีน้อย-เกิดน้อย” อยู่แล้ว ปัญหา “หญิงอยากเป็นชาย-ชายอยากเป็นหญิง” เกิดซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก การสืบต่อเผ่าพันธุ์ไทยก็ลดหายไปอีก!
ทางหนึ่ง ในการแก้ปัญหานี้ ….
อยากให้ท่าน “รัฐมนตรีวราวุธ” ไปหาหนังสือ “ตำนานโรงเลี้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอฯ” ที่ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” บันทึกไว้ มาอ่านประกอบไอเดีย
ย้อนไปเมื่อ ๑๓๔ ปีที่แล้ว พศ.๒๔๓๓ “พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ” ในรัชกาล ที่ ๕
ทรงให้จัดตั้ง “โรงเลี้ยงเด็ก” ขึ้น เพื่อรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเด็กอนาถา ตรง “สวนมะลิ” สะพานดำ แม้นศรี ทุกวันนี้
“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ” เป็นผู้จัดการโรงเลี้ยงเด็ก
พระราชทานนามว่า “โรงเลี้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอฯ” ทำหน้าที่ช่วยเหลืออุปการะเด็กกำพร้า, เด็กครอบครัวยากจน ได้เข้ามาอยู่ประจำ
เพื่อได้รับการศึกษาการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นพลเมืองดี มีความประพฤติดี มีวิชาความรู้ ประกอบอาชีพได้ในอนาคต
“พระเจ้าน้องยาเธอฯ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ” ทรงพรรณาไว้ในหนังสือ “ตำนานโรงเลี้ยงเด็ก” ว่า
“ตั้งแต่ย่างเข้าไปในโรง (เลี้ยงเด็ก) ได้เดินทางอันราบเรียบแลเห็นสนามกว้างเต็มไปด้วยหญ้าอันเสมอซึ่งสำหรับเด็กวิ่งเล่นได้สนุกสบาย
และมีคลองที่น้ำเข้าออกได้ สำหรับเด็กใหญ่ว่ายอาบหรือใช้ได้ไม่ขัดขวาง ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ดอก ไม้ผลน่านั่งเล่นเย็นใจมาก
ที่อยู่ก็เป็นตึกเรือนฝากระดานอย่างดี มีที่นอนกันเหลือบยุง และเครื่องเล่นเพลินใจ
เครื่องนุ่งห่ม ก็ล้วนแต่ของที่ใหม่ๆไม่สกปรก มีพี่เลี้ยงนางนมผู้ตักเตือนใจให้เพลิดเพลิน ในความชอบความดีอยู่เสมอ
อาหารก็ได้รับของที่ประณีต เจ็บป่วยก็มีผู้รักษาพยาบาล เมื่ออายุเจริญล่วงมา ก็โกนจุกตัดเปียให้
ทั้งได้รับศิลปวิทยาการเป็นเครื่องประดับสำหรับกายต่อไป และภายหน้าทำการ ทำมาหาเลี้ยงชีพ ก็จะได้รับการอุดหนุนโดยสมควร ดูไม่มีสิ่งใดขาดปกติจากเด็กพลเรือนที่เกิดมาเลย”
การรับเลี้ยงเด็กแทนครอบครัวยากจน ให้การศึกษาเด็ก อบรมบ่มเพาะ การกิน-การอยู่ จนเด็กโตกลับออกไปช่วยพ่อแม่ทำมาหากินได้
ปัญหาพื้นฐาน ถ้ามองเรี่ยดิน ไม่ให้สูงจนเลยหัว เราจะเห็นทางแก้
อย่าถามว่า แล้วรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาทำสไตล์ “โรงเลี้ยงเด็ก”
คำตอบง่ายๆ ที่กู้มาแจก ๕ แสนล้าน เพื่อกินแล้วขี้หมดไปนั่นไง
เอา ๕ แสนล้าน ทำโครงการ “โรงเลี้ยงเด็ก” สังคมรอด- ชาติเจริญ แน่นอน!
เปลว สีเงิน
๙ มีนาคม ๒๕๖๗