เปลว สีเงิน
ดูคลิป….
“นายกฤษฎางค์ นุตจรัส” ทนายสิทธิมนุษยชนสามนิ้ว กับ “นายสมหมาย ตัวตุลานนท์”
พ่อ “ทานตะวัน” ที่ร่วมกันแถลงข่าวหน้าศาลอาญาเมื่อวาน (๒๖ กพ.๖๗) แล้ว
ต้องบอกว่า ทนายท่านนี้ “บริการทุกระดับประทับใจ” ลูกความสามนิ้วจริงๆ
ประทับใจยังไง คุยกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เอง
กรณี “ทานตะวัน” กับ “แฟรงค์-ณัฐนนท์” ที่ป่วนขบวนเสด็จ ตำรวจนำตัวฝากขังระหว่างสอบสวน และศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว นั้น
ทั้ง ๒ ตัวตึง ก็เดินตามสูตรสำเร็จแก๊งสามนิ้วที่ใช้มาตลอด คือ “อดข้าว-อดน้ำ” หวังกดดันศาลให้ยอมให้ประกันตัวอย่างหนึ่ง
สร้างเงื่อนไขให้ขบวนการส้ม “เปิดพื้นที่” สร้างวาทกรรมบิดประเด็นให้คนไม่รู้ เกิด “ทัศนคติลบ” ต่อศาล อย่างหนึ่ง
ทั้ง “กระแซะ-เสียดทาน” ไปถึงสถาบันต่อ อีกอย่างหนึ่ง
ผมสังเกตตลอดมา ….
ไม่เคยได้ยินทนายคนนี้พูดซักครั้งเลยว่า เขาได้ให้สติ-แนะนำ-ตักเตือน ลูกความสามนิ้ว ว่า
“เราเป็นคนไทย ไม่ควรไปล่วงล้ำก้ำเกินสถาบัน” เลย!?
การที่ “ตะวัน-แฟรงค์” ป่วนขบวนเสด็จ ขนาดนั้น ผมก็ยังไม่เคยได้ยินเขาแสดงท่าทีทางสำนึกให้รู้ด้วยซ้ำว่า
พฤติกรรมแบบนั้น ทั้งไม่บังควร ทั้งร้ายแรง ไม่ควรทำ!
ถ้าไปขับรถแซงขบวน “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” และบีบแตรไล่ หรือขบวนเสด็จของ “สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์” ที่อังกฤษ อย่างนี้ละก็
ทนายกฤษฎางค์ คงตอบตัวเองได้กระมังว่า
เห็นที “ศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนสามนิ้ว ต้องเสียลูกค้าชั้นดีไปตลอดกาล ๒ คนแน่ๆ”!
ความหนัก/เบาในพฤติกรรม และกระทำต่อใคร ทนายไม่พูด
กลับเลี่ยงไปยกระเบียบปลีกย่อยในทางปฎิบัติระหว่างคดี ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาลมาอ้าง ทำนองว่า “ศาลทำไม่ถูก”
ทนายกฤษฎางค์ต้องรู้….
ว่าที่ “ตะวัน-แฟรงค์” ทำ ไม่ใช่เกิดจากความไร้เดียงสา ความไม่รู้ ไม่เจตนา ไม่จงใจ
เพราะเขาทำในทำนองเดียวกันต่อสถาบันต่อเนื่องมาแล้ว ตั้งแต่ในปี ๖๕ ปี ๖๖ และครั้งนี้ ในปี ๖๗ อีก
ครั้งแรก ปี ๖๕ ที่ศูนย์การค้า “สยามพารากอน” ตะวันทำโพล ติดสติกเกอร์ “เรื่องขบวนเสด็จ”
พอมีนา.เอาอีก เฟซบุ๊กไลฟ์รอรับขบวนเสด็จ บริเวณถนนราชดำเนิน
ถูกจับคดีแรก ศาลก็ให้ประกัน ไปทำอีก เป็นคดีที่ ๒ ศาลก็ให้ประกัน
ตะวันก็ยังไปโพสต์-ไปแชร์ ข้อความเข้าข่ายตามมาตรา ๑๑๒ ทั้งมีพฤติกรรมขับรถเข้าใกล้พื้นที่รับเสด็จอีก
คราวนี้ ศาลสั่งถอนการประกันตัว ส่งเข้า “ทัณฑสถานหญิงกลาง”
ตะวันก็ “อดอาหาร” ประท้วง-บีบศาล-ปลุกกระแส ก็ตามสูตรสามนิ้ว
แล้ว “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ไปเป็นนายประกันให้
ศาลก็ให้ประกัน โดยมีเงื่อนไข นายพิธาต้องเป็นผู้กำกับดูแลความประพฤติของตะวัน
“กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา”….
ว่าตะวันทำไป เพราะไร้เดียงสา หรือเพราะจงใจ จะด้วยความคิดตัวเอง หรือมีพวกซุกใต้กระโปรงเด็กชักใยก็ตาม
คำตอบมันก็มีอยู่ในพฤติกรรมที่แสดงออกซ้ำๆ ซ้อนๆ นั้นแล้ว
ถ้าไม่เจตนา อย่างน้อยต้องหลาบจำ ไม่ทำอีก แต่ตะวันไม่ กลับขวนขวาย หาทางกลับเข้าไปอยู่ในคุกตามเดิมอีก
โดยไปยื่น “ถอนประกันตัวเอง” เพื่อจะได้กลับเข้าคุก ไปแสดงบท “อดข้าว-อดน้ำ” อีก
ซึ่งผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่า….
เป็นอุดมการณ์ หรือเป็นงานอีเวนท์ของตะวัน!?
ก็ได้ตามแผน เข้าคุก อดข้าว-อดน้ำ คือได้ย้ายจากคุกไปนอนโรงพยาบาลธรรมศาสตร์
“กลุ่มทะลุฟ้า” นอกคุก ก็ตีปีบ จัดกิจกรรมนอกคุก “คุย.หยุด.ขัง” เป็นคู่ขนานที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกทม.ปทุมวัน
แล้วพ่อ-แม่ตะวันไปไหน?
มีเสียงถามในสังคม ว่าไม่อบรมสั่งสอนลูก หรือเห็นดี-เห็นงาม สนับสนุนในสิ่งที่ลูกทำซ้ำๆซากๆ?
ก็อยู่นะ ไม่ได้ไปไหน ในที่ชุมนุม นายสมหมายพ่อของตะวันยังขึ้นเวที บอกว่า……..
“ผมไม่ได้สนับสนุนการกระทำของน้อง ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่การกระทำของน้องคืออุดมการณ์ของน้องจริงๆ
แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะบังคับอุดมการณ์ของน้องได้ ซึ่งอุดมการณ์ของน้องเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี
มันสามารถที่จะพัฒนาอะไรต่างๆ ให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยในส่วนต่างๆ ได้
อาการของน้องตอนนี้ก็เหลือระยะเวลาอีกไม่เท่าไหร่ วอนให้ทุกฝ่ายช่วยกัน
ช่วยให้น้องสามารถที่จะมีชีวิตต่อไป เพื่อถึงเส้นชัยของเขา อุดมการณ์ของเขา ให้มันถึงเส้นชัยได้”
นี่คือคำตอบกรายๆ ว่า “ตะวันเป็นไปเอง”
หรือตะวัน “ลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น”?
ใต้ต้นไหนบ้าง ก็คิดเอา ผมอ่านพบจาก “เพจวันนี้้ก้าวไกลโกหกอะไร” เขาลำดับ “วงจรชีวิตตะวัน” ในบทปฎิปักษ์สถาบันไว้ ประมาณนี้
๒๖ พ.ค.๖๕ : ตะวัน โพสต์
“ขอขอบคุณ คุณทิม พิธา มากๆค่ะที่มาเป็นนายประกันให้ ขอบคุณพรรคก้าวไกล ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ”
๑ ก.พ.๖๖ พิธา อภิปรายในสภา
“ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวันและคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิมลูกสาวของผมอยู่ในนั้น ”
๒๘ ก.พ.๖๖ พิธา-ธนาธร นำทีมก้าวไกล ถือดอกทานตะวัน ให้กำลังใจ “ตะวัน-แบม” อดอาหารหน้าศาลฎีกา
๒๔ มี.ค.๖๖ พิธา ติดสติกเกอร์ ยกเลิก ๑๑๒
พร้อม บอกตะวันว่า…
“ถ้าแก้ไม่ได้ เราจะไปยกเลิกกัน”
๕ เม.ย.๖๖ “ตะวัน-แบม” ได้รับรางวัล “ผู้ที่มีส่วนในการทำให้โลกในวันพรุ่งนี้ดียิ่งขึ้น” มีพิธาคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง
เมื่อวาน ตอนหนึ่งในการแถลง เป้าหมายต้องการให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัว “ตะวัน-แฟรงค์”
ทนายกฤษฎางค์ พูดเชิงอ้าง……
“ตะวันเป็นเด็กนักศึกษา ไม่มีอิทธิพลใดๆ ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลง ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้”
ในฐานะนายกฤษฎางค์เป็นนักกฎหมาย เห็นพูดถึงพวกสามนิ้วที่ไปทำผิด มักใช้คำว่า “เด็ก” อยู่เรื่อย
ที่แถลงเมื่อวาน ก็บอกตะวันเป็น “เด็ก” บ้าง “เยาวชน” บ้าง ผมอยากถามว่า เกณฑ์แบ่งอายุตามกฎหมาย มีว่าอย่างไร?
เพราะได้ยินคุณ “ตีตั๋วเด็ก” ให้ตะวัน ซึ่งอายุ ๒๒ ปี และนายณัฐนนท์ ๒๓ ปี ตลอด
และว่า “ตะวันเป็นเด็กนักศึกษา”….
เป็นนักศึกษาอยู่สถาบันศึกษาไหน ทนายกฤษฎางค์ช่วยเอาหลักฐานมายืนยันหน่อยซิ?
ตอนทำละก็…เป็นผู้ใหญ่ปัญญาชนที่จะมานำชาติ
แต่ตอนติดคุก…ทนายกลับ “ตีตั๋วเด็ก” ให้ตลอด อย่างนี้มันเหลื่อมล้ำทางสังคมนะ
เรื่องนี้ต้องถึง “พ่อฝรั่ง-พ่อส้ม” แน่ ผมจะไปฟ้องถึงศาลเด็กโลกเลย!
ผมก็ลำดับความเป็นการปูพื้นความเข้าใจคร่าวๆ เพื่อให้ท่านช่วยกันวินิจฉัย เพื่อตอบคำถาม
ตามหนังสือที่ “นายสมหมาย” พ่อของตะวัน ยื่นถึง “อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา” เมื่อวาน
โดยทนายกฤษฎางค์ เป็นคนอ่าน ดังนี้
“ตามที่ศาลมีคำสั่ง ไม่ปล่อยตัวชั่วคราว นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร
ข้าพเจ้าไม่มีคำโต้แย้งใดใด
แต่อยากขอให้ศาลอาญาดูแลรับผิดชอบในชีวิตของผู้ต้องหาทั้ง ๒ ที่ท่านมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว ระหว่างการสอบสวนต่อไปด้วย
เขาทั้งสองเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาอัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้องคดีเเต่อย่างใด ดังนั้น ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย
“หากทั้ง ๒ คนถึงแก่ความตาย ระหว่างที่อยู่การสอบสวน โดยคำสั่งของศาลอาญา ขอให้ท่านโปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ดวงวิญญาณทั้ง ๒ ดวง
ว่าใครต้องรับผิดชอบการตาย จากการที่ท่านมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว และขอได้โปรดให้ท่านพิจารณาและหาทางออก”
สำหรับผม….
วินิจฉัยพฤติกรรมและการกระทำต่อเนื่องของตะวันมาเป็นลำดับ “ถ้าตาย” คนที่ต้องรับผิดชอบ คือ
๑.ตัวตะวันเอง ในเรือนจำ มีให้กินครบ ๓ มื้อ แต่ไม่กิน-ไม่ดื่มเอง ไม่ยอมรับการดูแลจากแพทย์เอง หวังกดดันศาล
ทั้งมีพฤติกรรม มีแผนใช้คุกเป็นสถานที่ “สร้างกระแส-ปลุกระดม” ถึงขั้น “ถอนประกันตัวเอง” เพื่อได้เข้าไป
ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่า แท้จริง ตะวันไม่ประสงค์ให้ประกัน
๒.พ่อของตะวัน ที่ประกาศสนับสนุนอุดมการณ์ของลูก
๓.ทนายความ ไม่ใช่ทำหน้าที่ทนายอย่างเดียว ต้องยึดมั่นใน “จริยธรรมทนายความ” ด้วย และ
๔.ขบวนการ “กัดกร่อนบ่อนเซาะ” ที่ซุกตามใต้กระโปรงเด็ก
ถ้าตะวัน “อดข้าว-อดน้ำ” แล้วศาลต้องให้ประกัน
ก็ไม่แน่ว่า ต่อจากนั้น ผู้ต้องหา-นักโทษ จะพร้อมใจกัน “อดข้าว-อดน้ำ” ไปทั่วทุกคุก
นี้จะเป็น “บรรทัดฐาน”ใหม่
ไม่ต้อง “สวมปลอกคอ-เฝือกคล้องแขน” เข้ากล้อง ก็ออกคุกได้…สบายๆ!
เปลว สีเงิน
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗