เปลว สีเงิน
วันนี้ ขัดข้องทางสุขภาพนิดหน่อย
“ไทยโพสต์” ส่งไปพิมพ์แล้ว ผมเพิ่งนั่งจิ้มคอมพ์คุย
ก็ “ตกรถ” ไม่มีให้อ่านในหน้าหนังสือพิมพ์
มาอาศัย “เกาะเว็บ” พอให้รู้ว่า..ยู้ฮู…ผมยังอยู่ดีก็แล้วกัน!
“ปัญหาโลก” ทั้งไกลและใกล้บ้านเราระยะนี้ ค่อนข้างเคี่ยวข้น สนใจติดตามกันไว้บ้างก็ดี
เพราะถึงไทยเราไม่เกี่ยวกับเขา แต่ถึงจุดหนึ่ง ทั้งเรา-ทั้งเขา ก็ต้องเกี่ยวอยู่ดี ในฐานะที่อยู่บนผิวโลกใบเดียวกัน
“นายกฯเศรษฐา” ที่เห็นไปจับมือผู้นำประเทศนั้น-ประเทศนี้ ตามเวทีต่างๆ นั้น
นั่นแค่บท “คนรับแขก”
แต่คนทำงาน ทั้งแก้ปัญหา ทั้งประสานงาน-ประสานงาและสานสัมพันธ์ งานหนักและงานหลักแทบไม่ต้องหลับ-ต้องนอน คือ “คนกระทรวงต่างประเทศ”
“ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ดูภายนอก เหมือนชิลๆ
แต่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เข้ามา ต้องเรียกว่า “หัวไม่วาง-หางไม่เว้น” หากแต่เรื่องระหว่างประเทศ จะนำมาพูดจาหาแสงมันไม่ควรเท่านั้น
งานต่างประเทศยุคนี้ คนไม่ (จำเป็น) ต้องพูด (มาก) ให้งานมันพูด
ฉะนั้น ที่เห็น “หัวกระไดประเทศ” ไม่แห้งช่วงนี้ หลายเรื่องมีผลบวกกับไทย จะบอกว่า “โชคช่วย-ชะตาเมือง” นั่นก็ส่วนหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ…..
คือการทำงานที่ต้องใช้คำว่า “หนักมากกกกก” ของคนกระทรวงต่างประเทศและรัฐมนตรีปานปรีย์
“ไทย-จีน” ตั้งแต่ ๑ มีนา.เป็นต้นไป ไม่ต้องใช้วีซ่าแล้วนะ
“หวังอี้” รัฐมนตีต่างประเทศของจีน บินมาลงนามความตกลงด้วยตัวเองกับรัฐมนตรีปานปรีย์
เวลาเดียวกัน “เจค ซัลลิแวน” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ก็มา
“พล.ร.อ. อะดุง พันธุ์เอี่ยม” ผบ.ทร.ผู้บัญชาการทหารเรือ บอก “เรือหลวงสุโขทัย” ที่จม
“ไทยไม่ต้องเปลืองเงินงบประมาณเพื่อจ้างกู้ขึ้นมาแล้ว”
สหรัฐฯ จะช่วยลงไปสำรวจ ศึกษาข้อมูลและสาเหตุให้ทั้งหมด พร้อมนำอาวุธในเรือขึ้นมา โดยไทยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
เห็นมั้ย….
ในความที่ “ไทย” เป็น “แดนกลาง” ทางสันติสุข-สันติภาพของมนุษยชาติ “ไทย” จึงเป็นอันที่รักของนานาประเทศ
พวกเราชาวไทย…..
ต้องช่วยกันรักษาตรงนี้ไว้ อย่าไป “ฝักฝ่าย-ขายชาติ” แล้วไทยเราจะไปรุ่งและไปรอด!
ผมเชื่อ “จิตเดิมแท้” ของไทยเราทุกคน ยามปกติ ก็ว่ากันไป แต่เมื่อถึง “จุดวัดใจ” ไทยทุกคนต้อง “เอาชาติ” ล้านเปอร์เซ็นต์
ฉะนั้น ช่วงนี้ ใครอยากแบ่งข้าง-แบ่งสี อยากกาลีบ้าน-กาลีเมือง ก็ปลดปล่อยกันได้ตามสบาย เพราะยังมีเวลาให้หาแสง
แต่กลางปีเป็นต้นไป…
ต้องหยุด “เพื่อชาติบ้านเมือง” ของเราจะได้เดินหน้าเต็มสูบ เอาอย่างนี้นะ ทั้งคนในสภาและนอกสภา!
เรื่องบ้านเมือง ผมน่ะ…ก็ไม่ค่อยห่วงหรอก
ห่วงแต่ “พี่ศรี” นักร้องของผมเท่านั้น
เพราะนับจากวันที่ “ซานตาครอส” เอาถุงเงิน ๕ แสน มาแขวนแตะเอียให้พี่ศรีถึงรั้วหน้าบ้าน แล้วต้องวิ่งตูดบานหนีตำรวจ
จากวันนั้น ถึงวันนี้ พี่ศรี-นักร้องที่ไม่เคยหนีไมค์
กลายเป็น “พี่ศรี-นักร้องหนีไมค์” ไปซะแล้ว
เห็นแต่เป็นฝ่ายแฉรุกไล่คนอื่นมาตลอด แต่เรื่องนี้ ตัวพี่ศรีเองก็บอก “ผมถูกกลั่นแกล้ง”
เมื่อถูกกลั่นแกล้ง ก็ไม่ต้อง “กบดาน-จำศีล” ออกมาแฉโต้ ตำรวจ, อธิบดีกรมการข้าวเขาบ้างซี
ว่าที่หาว่าพี่ศรี “ตบทรัพย์แลกกับการไม่ร้อง” ๑.๕ ล้านบาทนั้น…ไม่จริง
“เป็นการเข้าใจผิดน่ะ ผมสั่งผัดไทยผ่านไลน์แมนไว้ เห็นห่อแขวนหน้าบ้าน ก็เข้าใจว่าไลน์แมนเอามาส่ง เลยให้เมียไปหยิบเอามา
เปิดจะกิน…ไอ๊หย่า ผัดไทยใส้แบงค์พัน …
ผมกลัวศีลข้อ “อทินนาทาน” ขาด เลยโยนทิ้ง ด้วยขยะแขยง ไม่รู้เรื่อง-รู้ราวอะไร สงสัยจะมีคนวางแผนกำจัดผม”
เนี่ย…พี่ศรี เพิ่งสึก กลัวอาบัติ ก็ต้องออกมาปลงอาบัติ ด้วยการแจกแจงความจริงสู้เค้า
หลบหน้า-หลบหัวแบบนี้ เท่ากับว่า “พี่ศรีสารภาพ” ด้วยจำนนต่อหลักฐานน่ะซี
ประเด็นที่อ้าง ไม่รู้ว่าถุงอะไร ใครเอามาแขวนหน้าบ้านนั้น มันฟังไม่ขึ้นนะ
ในฐานะ “นักร้อง” ผู้เชี่ยวชาญ ขอถามว่า สมมติมีใครเอาถุงมาแขวนหน้าบ้าน ด้วยสถานภาพนักร้องมือวางอันดับ ๑ ผู้มีโจทย์รอบตัว
ไม่เอะใจบ้างหรือว่า มันจะเป็นระเบิด?
การที่ให้เมียไปหยิบเอามา นั่นก็บ่งบอกว่า พี่ศรี “รู้ที่มา-ที่ไป” ของถุงนั้นแล้ว จึงมั่นใจว่าไม่เป็นการส่งเมียไปเสี่ยงตูมมม..ตายแน่
อันดับที่สอง ด้วยความช่ำชองของพี่ศรี เมื่อเห็นถุงซึ่งไม่รู้ที่มา-ที่ไป พี่ศรีต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานก่อนแน่ๆ แล้วเรียกพวก เรียกนักข่าวมาดู
แต่พี่ศรี กลับละเลย “สิงที่ต้องทำ” ไปซะงั้น?
อันดับที่สาม พี่ศรีต้องโทรแจ้งตำรวจ ว่ามีมือลึกลับ นำถุงน่าสงสัยมาแขวนไว้หน้าบ้าน ให้เจ้าหน้าที่ส่งมือชำนาญการมาตรวจพิสูน์ด่วน
แต่พี่ศรี ก็ไม่แจ้ง ประหนึ่งว่า “นั่งทางใน” รู้แล้ว-เห็นแล้ว ว่าถุงอะไร ใครเอามาแขวน จึงไม่บอกใคร นอกจากเมีย!?
เหล่านี้……
ถ้าพี่ศรีเงียบฉี่ ผมเกรงว่า “แฟนคลับ” พี่ศรีจะเขวนะ!
มีอยู่ประเด็น ที่แฟนๆ พี่ศรีตั้งข้อสังเกตว่า…
“ถ้าอธิบดีกรมการข้าวไม่ได้ทำผิด ทำไมต้องจ่ายเงิน?”
มองในมุมฉาบฉวย ประเด็นนี้ “มีเหตุผลให้ต้องสงสัย”
เมื่อวาน (๒๙ มค.๖๗) “พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อธิบายรายละเอียดเป็นขั้นตอนไว้อย่างนี้
“จากพฤติกรรมการจ่ายเงิน สะท้อนว่าไม่ได้อยากจ่ายจริง แต่ต้องจ่ายเพื่อจับขบวนการนี้
โดยการเรียกเงินสรุปตัวเลขกันที่ ๑.๕ ล้านบาท ก่อนที่จะเรียกเงินรอบแรก ๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งทางอธิบดีฯ จ่ายให้ ๕๐,๐๐๐ บาท
หลังจากนั้น เรียกอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่จ่ายเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท
รอบที่สาม เรียกเงินส่วนที่ยังค้าง ทางอธิบดีฯ จ่ายให้ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท
และรอบสุดท้าย เรียกเงินส่วนที่เหลือ ๑,๓๔๐,๐๐๐ บาท
จากนั้น ตลบหลังซ้อนแผน เอาเงินไปแขวนหน้าบ้านนายศรีสุวรรณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ก่อนเจ้าหน้าที่จะแสดงตัวจับกุม”
สรุป คือ ทางอธิบดีฯ นำเรื่องถูกตบทรัพย์ไปแจ้งตำรวจ และเพื่อให้ได้หลักฐานชัด จึงวางแผนร่วมกัน โดยจ่ายเพื่อเก็บหลักฐานมัดตัวพี่ศรี
นี่คือ คำตอบจากข้อสงสัย “ไม่ได้ทำผิด ทำไมต้องจ่าย”
ที่น่าสนใจติดตาม ว่าตำรวจ “พูดจริงแล้วทำจริง” หรือไม่ อยู่ตรงที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติให้สัมภาษณ์ว่า
“ไม่จบแค่คดีของอธิบดีกรมการข้าว ดูจากพฤติกรรม ยังมีอีกหลายหน่วยงานเข้าข่ายเจอแบบเดียวกัน
“ชุดสืบสวน” พบข้อมูลว่ากลุ่มของนายศรีสุวรรณ จรรยา เรียกรับเงินหลักร้อยล้านบาท (๑๐๐โล) ก่อนต่อรองเหลือ ๘๐ล้านบาท (๘ โล)
เพียงแต่ยังไม่ได้มีการจ่ายเงินตามที่เรียก “ตอนนี้ชุดสืบสวนกำลังขยายผลอยู่”
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า แก๊งตบทรัพย์แก๊งนี้ ไม่ได้มีแค่ ๓ คนที่ถูกจับ แต่มีปลาใหญ่ร่วมด้วย
ตอนนี้ตำรวจกำลังรอดูว่า “ปลาใหญ่” จะเอายังไง ยืนยันว่า เมื่อ ปปป.ร่วมกับ ปปท.,ปปง.และป.ป.ช. เอาจริงแน่นอน
ส่วนแนวทางการสอบสวน ตอนนี้ ยังพบด้วยว่า ….
น่าจะมีอีกอย่างน้อย ๑ คน ทำหน้าที่ “เสิร์ฟข้อมูล” ข้าราชการหรือเอกชนที่น่าสนใจให้แก๊งนี้ ก่อนจะวางแผนเป็นขบวนการแบ่งหน้าที่ชัดเจน
มีคนร้องเรียน, คนประสาน, คนไปเคลียร์ และ คนรับเงิน”
ครับ…..
ตื่นเต้น เร้าใจ ว่า “ไอ้โม่งแดง” อยู่เบื้องหลังขบวนการ “นักร้องตบทรัพย์” คือใคร?
หวังว่าจะไม่เหมือนคดีทลายแก๊ง “หมูถื่อน” นะ
เพราะตอนขึ้นต้น ก็ขึงขังแบบนี้ สาวถึง “ปลาตัวใหญ่” แน่…เอาจริงแน่ ถึงขั้นระบุ “อักษร” ย่อชื่อ
แล้วเป็นไง “หมูเถื่อน” ถอดวิญญานไปเกิดใหม่ตั้งนานแล้ว “ปลาตัวใหญ่” ที่ว่า ไม่เห็นมีหมาตัวไหนไปคาบมาให้เห็นซักตัว!?
แก๊ง “นักร้องตบทรัพย์” นี่เหมือนกัน
หวังว่า สอบสวนกลาง “ปปป.,ปปท.” รวมทั้ง “ปปง.และป.ป.ช.”
จะได้เสิร์ฟ “แป๊ะซะปลาตัวใหญ่” ขึ้นโต๊ะซักที
ประเภท เหลือแต่ขี้กับก้างให้ประชาชน ส่วนหัวหางและพุง เอาไปฟาดกันเรียบ
ถ้าแบบนั้น “ปฎิรูป…ไม่พอ”
ต้อง “ล้างทั้งประเทศ” นั่นแหละ ไทยจึงจะสู่ยุค “ชาววิไล” กันจริงๆ ซะที!
เปลว สีเงิน
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗