ผักกาดหอม
เปิดประเด็นใหม่
วานนี้ (๒๘ ธันวาคม) นายกฯ เศรษฐา นั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ ที่ทำเนียบรัฐบาล
ผู้เข้าร่วมประชุมระดับบิ๊กเนมเพียบ!
ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ประธานวุฒิสภา, ผู้บัญชาการทหารอากาศ, ผู้บัญชาการทหารเรือ, รองผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมไปถึงตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม และหอการค้าฯ ฯลฯ
ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์ จะล้มยุทธศาสตร์ชาติ
“ผมไม่เชื่อกับการวางแผน และล็อกตัวเองไว้ยาวนานเกินไป ไม่มีใครที่วางแผนไว้นานขนาดนี้ อย่าว่าแต่ ๒๐ ปีเลย ๕ ปียังทำยาก
โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว และจะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้ง ChatGPT, AI, Quantum Computing หรือแม้กระทั่งเรื่องพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ๆ ที่จะมากำหนดทิศทางโลก
เราเดินทางไปเจรจาค้าขายเมื่อ ๓ ปีที่แล้วดึงคนมาลงทุน แต่ดูเรื่องค่าแรงงานขั้นต่ำที่พวกท่านไม่สนับสนุนเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ แต่เป็นเรื่องที่น่าละอายใจ
และยังมีอีกหลายเรื่องที่ ๓ ปีที่แล้วไม่มี เช่น เรื่องพลังงานสะอาด เวลาที่ผมเดินทางไปต่างประเทศจะเป็นเรื่องแรกที่หยิบยกขึ้นมาพูด นี่เป็นตัวอย่างที่โลกเปลี่ยน
เรื่องเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของ war of talent ที่ทุกประเทศทั่วโลกทุ่มดึงดูดเพื่อให้คนที่มีความสามารถไปทำงาน และยังมีเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์สามสี่ปีที่แล้ว สหรัฐก็ไม่ได้มี fiction เยอะขนาดนี้ แต่ขณะนี้มี fiction ส่งคืนในหลายประเทศ…”
แสดงว่า นายกฯ เศรษฐา ไม่ได้ศรัทธาในแผนการพัฒนาประเทศ ๒๐ ปี ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะมาจากภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่การแข่งขันดุเดือด และต้องปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ครั้นจะไปกำหนดแผนงานบริษัทระยะยาว ๑๐-๒๐ ปีก็ใช่เรื่อง
มีหวังเจ๊งไม่เป็นท่า
แต่การพัฒนาประเทศต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ภาคธุรกิจเอกชน ส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนตัวผู้บริหารบ่อยนัก
อย่าง นายกฯ เศรษฐา อยู่กับ “แสนสิริ” มาร่วม ๓๐ ปี
ขณะที่รัฐบาลมีวาระ ๔ ปี แต่ส่วนใหญ่อยู่ไม่ครบเทอม
หลายรัฐบาลอยู่ไม่ครบปีด้วยซ้ำ
ฉะนั้นการต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศจึงแทบเป็นไปไม่ได้
เอาแค่รัฐบาลลุงตู่ กับรัฐบาลปัจจุบัน หลังเปลี่ยนรัฐบาล หลายๆ โครงการทำท่าไม่ได้ไปต่อ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
บางโครงการเปลี่ยนรัฐบาล ต้องไปนับ ๑ ใหม่ เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขตามที่รัฐบาลใหม่ต้องการ
หลายโครงการถูกดึงกลับ ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะกันใหม่
หรือกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นกระทรวงสำคัญเกือบจะที่สุด เพราะเป็นกระทรวงสร้างคน การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยๆ แทบหาความต่อเนื่องของนโยบายไม่ได้เลย
เมื่อการศึกษาไทยล้าหลัง ประชาชนก็หัวร้อน ด่ามั่วไปหมด แต่มีใครเคยคิดบ้างว่า สาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร
เราแทบไม่มียุทธศาสตร์ในการสร้างคนเลย
หรือแม้แต่ปัญหาคอร์รัปชัน ทุกรัฐบาลเข้ามาล้วนคุยโม้โอ้อวดว่าจะปราบคอร์รัปชันให้สิ้นไป
อยู่ไปๆ คนในรัฐบาลนั่นแหละครับ โกงตัวพ่อ
เพราะมันไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ไม่มีตัวชี้วัดการทำงาน ไม่มีการประเมินอะไรทั้งนั้น
ปัจจุบันการคอร์รัปชั่นยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ที่นักการเมืองแทบไม่อยากพูดถึงนัก
โดยเฉพาะการคอร์รัปชันระดับชาติ!
ฉะนั้นหากยังปล่อยไปอย่างนี้ ยากครับที่ทุกปัญหาจะได้รับการแก้ไข
ยิ่งการเมืองในปัจจุบันแข่งกันขายนโยบายประชานิยมด้วยแล้ว แทบไม่ต้องมองอะไรไกลเลย เพราะนักการเมืองเอาแต่คิดหาวิธีแจกอะไร อย่างไร เพื่อแลกกับคะแนนนิยม
หากใครเคยอ่านยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.๒๕๖๑-๒๕๘๐ จะพบว่า มิได้ลงในรายละเอียดว่ารัฐบาลต้องทำอะไรอย่างไร
แต่ให้แนวทางกว้างๆ
วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และตัวชี้วัด
ยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดไว้ ๖ ด้าน ซึ่งถือว่าครอบคลุมต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง
ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
เห็นนายกฯ เศรษฐา โชว์วิสัยทัศน์ว่า “ยังมีอีกหลายเรื่องที่ ๓ ปีที่แล้วไม่มี เช่น เรื่องพลังงานสะอาด”
หากเข้าไปอ่านยุทธศาสตร์ชาติสักนิด ก็จะเห็นว่ามีการพูดถึงปัญหาด้านพลังงานอยู่เช่นกัน
ในยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการระบุถึงการพัฒนาความมั่นคงพลังงานของประเทศและส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยลดความเข้มข้นของการใช้พลังงาน
นายกฯ เศรษฐา อาจไม่เคยศึกษายุทธศาสตร์ชาติเลย แต่พูดตามคนอื่น ซึ่งแน่นอนว่าได้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยนพอสมควร
ในยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มีการพูดถึงความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(๑) ประชาชนและภาคีต่างๆ ในสังคมร่วมมือกันในการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(๒) บุคลากรภาครัฐยึดมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต
(๓) การปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบมีประสิทธิภาพ มีความเด็ดขาด เป็นธรรมและตรวจสอบได้
และ (๔) การบริหารจัดการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นระบบแบบบูรณาการ
นี่คือกรอบการปราบโกงที่รัฐบาลต้องไปจัดการในรายละเอียด ก็น่าแปลกใจว่าทำไมนักการเมืองถึงได้เกลียดยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี หนักหนา
ที่ผ่านมาน้อยรัฐบาลที่จริงจังกับปัญหาคอร์รัปชัน
โลกเปลี่ยนไปเร็วก็จริง แต่ใช่ว่าการวางแนวทางแก้ปัญหา ๒๐ ปีจะกลายเป็นเรื่องล้าสมัย
พูดเรื่องนักการเมืองโกงวันนี้ ใช่ว่านักการเมืองจะเลิกโกงใน ๕ ปี
อีก ๒๐-๓๐ หรือ ๑๐๐ ปีข้างหน้า หากไม่วางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อแก้ปัญหา
นักการเมืองก็ยังโกงอยู่นั่นเอง