“ปิยมหาราช” ในมิติควรรู้ – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

แผ่นดินไทย ยุค “รัตนโกสินทร์” จาก พศ.๒๓๒๕
มีพระมหากษัตริย์มาแล้ว ๙ พระองค์
ณ ปัจจุบัน “พระบาทสมเด็จพระวิชรเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็นพระเจ้าแผ่นดิน องค์ ที่ ๑๐
องค์ที่ ๕ คือ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ผู้มีพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”

๑๑๓ ปี ที่ผ่านมา เสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระองค์เสด็จสวรรคต ขณะพระชนมายุ ๕๘ และทรงครองสิริราชสมบัติมา ๔๒ ปี

“๒๓ ตุลาคม” ของทุกปี จึงเป็นวันปวงชนชาวไทยน้อมรำลึกถึง “สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า”

ไทยดำรงความเป็นไทย และไทยปฎิวัติประเทศ วางรากฐานการพัฒนาสู่ความเป็นอารยสากลทุกด้าน จนเติบใหญ่หนึ่งในอุษาคเนย์ ณ ปัจจุบัน

ก็ด้วยพระอัจฉริยภาพและสายพระเนตรอันยาวไกลดังที่เรียกในปัจจุบันว่า “วิสัยทัศน์” ของ “เสด็จพ่อ ร.๕” พระองค์นี้ โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

จากยุคสุโขทัย, อยุธยา, กรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์ ไทยกับพม่า เป็น “ตาอิน-ตานา” กันมาตลอด

ไทยเป็น “ตาอิน” ส่วนพม่า เป็น “ตานา”
ทำสงครามชิงและปกป้องแผ่นดินกันเรื่อยมา ผลัดกันแพ้-ชนะ

ศึก “ตาอิน-ตานา” ที่ยืดเยื้อมาหลายร้อยปี สิ้นสุดลงในรัชกาลที่ ๒-๓

โดย “ตานา” คือพม่า ถูก อังกฤษ เป็น “ตาอยู่”
เข้ายึดประเทศพม่าไปเป็นเมืองขึ้น!

ส่วนไทย “รู้เขา-รู้เรา”
ด้วยอัจฉริยภาพพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถ รักษาแผ่นดินไทยไว้ได้ มิให้ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งชาติยุโรป
เข้ายุครัชกาลที่ ๔ และที่ ๕

จาก “ไทยรบพม่า” เปลี่ยนเป็นไทยตกอยู่ในภาวะ “หมาป่ากับลูกแกะ”

หมาป่า-คือชาติยุโรป รุกรานหวังขย้ำไทยเป็นเมืองขึ้น เมื่อไม่สำเร็จ ก็ใช้อาวุธเข้าปล้นชิงเอาดินแดนไปบ้าง เรียกร้องเอาทรัพย์สมบัติชดใช้ ขนใส่เรือกลับไปบ้าง

เพื่อนบ้านในภูมิภาค ไม่มีประเทศไหนรอดเงื้อมมือฝรั่งชาติยุโรปเข้ายึดครอง
เว้นไทย “ประเทศเดียว” ดำรงเอกราชได้ถึงทุกวันนี้

ก็ด้วยพระวิสัยทัศน์ “พระบาทสมเด็จพระปิยมาราช” นี้แหละ ทรงดำเนินวิเทโศบายใช้ “หนามบ่งหนาม”

เมื่อฝรั่งยุโรป “อังกฤษ-ฝรั่งเศส” เป็นต้น รุกราน การแก้ ก็ต้องแก้ที่ต้นตอ

ดังนั้น พระองค์จึงเสด็จฯ ไปเยือนพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย “สมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสที่ ๒”
สมัยเป็น “เจ้าชายนิโคลัส”

“พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ทรงเชิญเสด็จฯ มาเยือนประเทศไทย ก็มีความผูกพันทางมิตรไมตรีเรื่อยมา

ดังนั้น การไปเยือนยุโรป เท่ากับไปพบมิตรผู้มีไมตรีอันดีต่อกันมาก่อน
“พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย” หน้าไหนในยุโรปกล้าหือ?

พลันที่พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียทรงทราบความในพระทัยของในหลวงรัชกาลที่ ๕
พระเจ้าซาร์ก็ทรง “ฉายพระรูปคู่” กับสมเด็จพระปิยมหาราช

รับสั่งให้นำพระรูปที่ฉายคู่กันนั้น เผยแพร่ไปทั่วยุโรป เมื่อภาพนั้นเผยแพร่ออกไป ชาติยุโรปเห็น ต่างทึ่ง “กษัตริย์แห่งสยาม” เป็นสหายกับ “พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย”

ฝรั่งชาติรุกรานจึงต่างหัวหด ในการเสด็จพระพาสยุโรปของ ร.๕ แต่ละประเทศ จึงให้การต้อนรับสมพระเกียรติเสมอเหมือนกัน

เมื่อเสด็จฯ กลับจากพระพาสยุโรป พระองค์นำเอารูปแบบการพัฒนาทางการศึกษา ทางการทหาร การปกครอง การสาธารณสุข

เรียกว่าทุกด้านจากทางยุโรป เป็นแนวทางมาปรับ “ปฎิวัติประเทศ” สู่ความเป็นอารยชาติสากล

เมื่อสิ้นยุคการรุกรานจากชาติตะวันตก จากปลายรัชกาลที่ ๕
เข้าสู่ยุคสงคราม “สมบูรณาญาสิทธิราชสู่ประชาธิปไตย”

จึงสรุปได้ว่า ใน ๑๐ รัชกาล ของยุครัตนโกสินทร์
จากรัชกาลที่ ๑- ๕ เป็นยุค “สงครามแย่งชิงประเทศ-ปล้นดินแดนไทย”

จากรัชกาลที่ ๖-๑๐ เป็นยุค “สงครามแย่งชิงอำนาจปกครองประเทศไทย”
ก็จะเห็นว่า กงล้อประวัติศาสตร์ “หมุนซ้ำรอยเดิม”

จะยักเยื้องเพียงรูปแบบเท่านั้น ส่วนเนื้อหา คือการหวังอำนาจเข้าครองประเทศ “เหมือนเดิม”
รัชกาลที่ ๑๐ ประหนึ่งรัชกาลที่ ๕

รัชกาลที่ ๕ ทรงรักษาเอกราชและทรงรักษาแผ่นดินไทย
ส่วนรัชกาลที่ ๑๐ ทรงรักษาแผ่นดินไทยและสถาบันไว้ในรูปแบบของระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ในขณะที่ ฝ่ายล้มล้างภายใต้การสนับสนุนจากตะวันตก พยายามทำสงครามแย่งชิงรูปแบบ “ประชาธิปไตย”

หวังแยกราชอาณาจักรไทย เป็น “ระบบสาธารณรัฐ” มีประธานาธิบดี แทนพระมหากษัตริย์!

รัชกาลที่ ๕ “สมเด็จพระปิยมหาราช” ทรงพระปรีชานำประเทศรอด และทรงปฎิวัติประเทศ พัฒนาทุกระบบรุ่งเรืองไพศาลถึงวันนี้ได้ ฉันใด

รัชกาลที่ ๑๐ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ก็ฉันนั้น คือ นอกจากทรงนำประเทศรอดแล้ว

ถ้าสังเกตกัน จะเห็นว่า ……..
พระองค์ทรง “ปฎิวัติ-พัฒนา” บ้านเมืองและสังคมชาติ สู่รอยต่อสังคมโลก “ศตวรรษที่ ๒๑” ชนิด “มีแบบ-มีแผน” เป็นขั้น-เป็นตอนมาเป็นลำดับ

เชื่อเถอะ ลงท้าย….
ขบวนการ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” หวังเปลี่ยนประเทศไปเป็น “ระบอบสาธารณรัฐ” มี “ประธานาธิบดี” แทน “พระมหากษัตริย์” นั้น
มันจะ “วิบัติเป็น” จากผล “อสัตย์ชาติ” ของมันเอง!

ไม่ต่างจาก “ต่างชาติ” ที่รุกรานไทย
ลงท้ายล้วน “วิบัติเป็น” ดังเห็นทั้งในอดีตและที่กำลังเป็นให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

วันนี้ เป็นวัน “ปิยมหาราชรำลึก”
ต้นไม้ งอกงามจาก “ราก” ฉันใด ประเทศชาติและคนในชาติ จะงอกงามและเติบใหญ่ ก็จาก “ราก” ฉันนั้น

“สถาบันพระมหากษัตริย์” คือ “ราก” ของชาติไทย ที่หยั่งลึกมายาวนานร่วม ๑,๐๐๐ ปีแล้ว

ดังนั้น ถ้าไปถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้าไม่ได้ อยู่ที่ไหน ก็น้อมใจรำลึกถึง “เสด็จพ่อ ร.๕”
แล้วกราบแทบแผ่นดิน ด้วยจิตลูกกตัญญูรู้คุณพ่อนั้น คือพรประเสริฐ

ตั้งใจจะนำจดหมาย “พระราชนิพนธ์” ที่ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงเขียนถึงพระราชโอรส ที่จะไปเรียนหนังสือในยุโรป เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘ มาให้อ่าน

“พระราชนิพนธ์” แม้ร้อยกว่าปีแล้ว คำพ่อสอนนั้น อีกกี่ร้อยปี ก็ยังทันสมัย น่าที่ “กระทรวงศึกษา” นำมาเป็นหนังสือประกอบการเรียน-การสอน

วันหลังจะนำมาให้อ่าน แล้วท่านจะเห็นตรงกับผม เว้นพวกอสัตย์โดยสันดาน!

คุยเท่านี้พอนะครับ….
ส่วนเรื่องยอดเงินที่ท่านทั้งหลายโอนเข้าบัญชีวัดทรายขาว สงขลา เพื่อสร้าง “หลวงพ่อทวด” ที่หล่อค้างไว้ครึ่งองค์ ๒๐ กว่าปีแล้ว ให้เสร็จสมบูรณ์ครบองค์ นั้น

จาก ๑๖-๑๙ ตุลา.ตามที่ผมประกาศไปแล้ว รวมกว่า ๑๐ ล้านบาท

เผอิญ ศุกร์ที่ ๒๐ ตุลา.ผมทำตัววุ่นวายอยู่กับงานวันครบรอบปีที่ ๒๗ ขึ้นปีที่ ๒๘ ไทยโพสต์ เลยไม่ได้คุยกับท่านไปวัน
ถามยอดไปทางวัด ทราบว่า “แบงก์หยุด”!

ฉะนั้น จากวันที่ ๒๐ ตค.ถึงวันนี้ ได้เท่าไหร่แล้ว ก็ต้องรอวันเปิดราชการตามปกติ คืออังคาร-พุธนั่นแหละ จึงจะไปอัพเดทยอดเงินโอนได้

ก็มีบางท่านใส่ซองมามอบผ่านผม ก็รวบรวมใส่ถุงไว้ ตอนลงไปดูที่วัด จะนำไปมอบให้ตอนนั้น

วันนี้ ๒๓ ตุลา.หยุดราชการอีกวัน แต่การโอนเงินเข้าบัญชีวัด วันหยุดก็โอนได้ นี่ถ้าร่วมบริจาคกันถึง ๓๐-๔๐ ล้านบาทละก็

ผมคงต้องบวชที่หน้าองค์ “หลวงพ่อทวด” อุทิศบุญเป็นการแทนคุณทุกท่านซักครึ่งเดือน รวมยอดจากที่ปวารณาตัวบวชถวาย “พระองค์ภาฯ” ไปครั้ง เมื่อต้นปี

เอาละ…คุยกันต่อพรุ่งนี้
ขอพระบารมี “เสด็จพ่อ ร.๕” ดลใจประชาชนคนไทยทุกคนจงมี “สัมมาสติ”

“สัมมาสติ” เท่านั้น ช่วยประเทศชาติรอดและทุกคนก็รอด!

เปลว สีเงิน
๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๖

Written By
More from plew
ร้อนเป็นบ้า-โม้สะบัด – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน กรุงเทพฯ….”ร้อนเป็นบ้า”! แต่ที่ “เชียงใหม่”…. ไม่รู้จะเชื่อ “คนเชียงใหม่จ๊าว” ดีหรือจะเชื่อ “เศรษฐา-นายกฯ ในคอกจ๊าว” ดี? เพราะดูข่าว...
Read More
0 replies on ““ปิยมหาราช” ในมิติควรรู้ – เปลว สีเงิน”