ผักกาดหอม
วันเวลาช่างผ่านไปไวจริงๆ
ไทยโพสต์ อยู่มา ๒๗ ปี
จากนั่งเคาะแป้นเครื่องพิมพ์ดีด เสียงดังสนั่นลั่นทุ่ง
วันนี้นั่งกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์เงียบกริ๊บ ดูเรียบร้อยราวกับอยู่กันคนละโลก
ครับ…ไทยโพสต์เวียนว่ายอยู่กับข่าวสารบ้านเมืองมาครบ ๒๗ ปี แล้ว และกำลังก้าวสู่ปีที่ ๒๘ บนความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกมาจวบจนวันนี้…มากโขอยู่
จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เพิ่มเติมด้วย ไทยโพสต์ออนไลน์ ตามด้วย ThaipostTV จะว่าทีวี ก็ไม่เชิง เพราะเผยแพร่ผ่านช่องทาง YouTube TikTok และ Facebook ถามว่าต้องปรับตัวเยอะมั้ย
คำตอบคือโคตรเยอะ!
เรื่องนั่งพูดหน้าจอไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ก็ต้องทำ
นักข่าวในสนามข่าวทุกวันนี้ ไม่ใช่นักข่าวหนังสือพิมพ์อีกต่อไป แต่เป็นนักข่าวทุกแพลตฟอร์ม
ข่าวสารปัจจุบันราวกับพายุ พัดกระหน่ำจนแทบไม่มีเวลาหายใจ
ไหนจะต้องสู้กับเฟกนิวส์ ที่ดันได้รับความนิยมสูงในโลกโซเชียล
เดี๋ยวนี้เฟกนิวส์ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่ส่วนใหญ่มาจากเจตนา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือไม่ก็ธุรกิจ
ตามแก้ไม่ไหวครับ
ไม่เฉพาะไทย เป็นกันทั่วโลก
แต่ก็แปลกมีสิ่งหนึ่งแทบจะไม่เปลี่ยนเลย นั้นคือ นักการเมือง
เคยเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น มีอำนาจขึ้นมาเมื่อไหร่ จ้องจะงาบทุกวินาทีที่มีโอกาส
ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
วันนี้ยังหนีไม่พ้นเรื่อง แจกเงินดิจิทัลหัวละ ๑ หมื่นบาท นโยบายที่เริ่มต้นด้วยสารพัดปัญหาจากน้ำมือรัฐบาลเอง จากที่สงสัยกันแค่เรื่องจะเอาเงินมาจากไหน วันนี้มันไปไกลกว่านั้นมากแล้วครับ
คือความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย
มีการส่งเสียงหนาหูขึ้นว่า นโยบายนี้มีช่องโหว่ อาจทำเงินแผ่นดินสูญไปนับพันล้านหมื่นล้าน ซ้ำรอยโครงการรับจำนำข้าว
หรืออาจถึงขั้นทำเศรษฐกิจไทยล่มสลาย!
เสียงเตือนว่ารัฐบาลอาจพาชาติเข้าสู่หายนะมีให้เห็นรายวัน
วานนี้ (๒๐ ตุลาคม) ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เขียนบทความ เรื่อง “แจกงานดีกว่าแจกเงิน สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่คือจุดคานงัดประเทศไทย”
รายละเอียดตามนี้ครับ
…นักเศรษฐศาสตร์ค้านกันตรึม ในนโยบายแจกเงินคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๕ แสนกว่าล้านบาท กลัวคนไทยจะเป็นหนี้หัวโต แต่แก้ปัญหาประเทศไม่ได้จริง
ที่แก้ปัญหาได้จริงคือสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่
เมื่อทุกคนมีงานทำ มีรายได้ หลุดหนี้ มีเงินออม ก็หายจน อยู่ดีมีสุข มีอำนาจซื้อมาก เศรษฐกิจมหภาคก็จะเติบโตและมั่นคง เพราะอยู่บนฐานที่แข็งแรงของเราเอง ไม่ใช่พึ่งตลาดโลกเป็นหลักซึ่งพลิกผันและวิกฤตง่าย
รัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้มาก โภคทรัพย์จะเต็มท้องพระคลัง
การสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ก็ไม่ยากถ้าเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยระดมกำลังของทุกฝ่าย ระดมเทคนิคและวิธีการทั้งหมดที่จะสร้างงาน ระดมการจัดการทั้งหมด
นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้นำทิศทางนโยบาย ให้ทุกองคาพยพของประเทศมีความมุ่งมั่นร่วมกัน คนไทยไม่เคยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ไปคนละทิศคนละทาง ประเทศจึงติดอยู่ในวิกฤตการณ์เรื้อรัง
เมื่อใดคนไทยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน จะเกิดพลังประดุจแสงเลเซอร์ทะลุทะลวงอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จ
นายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรบริหารจิปาถะ ซึ่งจะหมดแรงและไม่สำเร็จ แต่ต้องมีวิสัยทัศน์ว่าอะไรเป็นจุดคานงัดประเทศไทย
และเป็นผู้นำที่สื่อสารให้คนไทยทั้งประเทศมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จุดคานงัดนั้น
จุดคานงัดประเทศไทย คือ การสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่
หายจนถ้วนหน้า ลดความเหลื่อมล้ำ ทุกคนมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลด้วย ไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นหนี้หัวโตและความล้มเหลวเหมือนการแจกเงิน
แจกงานดีกว่าแจกเงิน…
ครับ…แต่ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีไม่ใช่ผู้นำทิศทางนโยบาย เพราะผู้นำตัวจริงอยู่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ
อะไรๆ ก็ “ทักษิณ” อย่าคิดว่าพูดลอยๆ สักแต่โยนให้ “ทักษิณ”
เป็นเรื่องจริงครับ
จะไม่จริงได้ไง ถ้าไม่ใช่ “ทักษิณ” ป่านนี้นอนคุกไปแล้ว ไม่ได้นอนห้องวีไอพี ติดแอร์เย็นฉ่ำมาร่วม ๒ เดือนเต็มหรอกครับ
นี่คือความอัปยศที่หลายฝ่ายรวมหัวกันสร้างขึ้นโดยไม่สนใจสายตาประชาชน
เราอยู่ในยุคไหนกันนี่
เคยคิดมั้ยครับ หากเหตุการณ์นี้เกิดในยุคลุงตู่จะเป็นอย่างไร
ด่ากันเป็นเดือนไม่จบ!
จำยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” ของพรรคเพื่อไทยได้หรือเปล่าครับ น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ในวันนี้มากกว่า
ก็อย่างที่เห็น “หัว” อยู่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าจะเด็ดต้องจับนั่งร้านมาเขย่าก่อน ดูว่าอมอะไรไว้ในปาก
แต่ก็เอาเถอะครับ…ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถูกตั้งคำถามเยอะ โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ รวมไปถึงรัฐบาล อย่าคิดว่าจะเก็บความลับไว้ได้ตลอดกาล
ครับ…ที่จริงแล้ว บทความของหมอประเวศ ไม่มีอะไรซับซ้อน เราเคยชินกันดีอยู่แล้วจากประโยคที่ว่า “นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด”
ครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกคราวว่า นักการเมืองยังคงแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการแจก ไม่สนใจสร้างคน ไม่หยิบยื่นให้ประชาชนสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเอง
แต่การแจกรอบนี้มันสาหัสเหลือเกิน
ต่างกับพระราชา
เพราะวิธีการของพระราชา คือสร้างคน เพื่อสร้างเครื่องมือไปจับปลา
หากรัฐบาลเศรษฐายืนกรานเอาเงิน ๕.๖ แสนล้านไปละลายลงแม่น้ำ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ อีกหน่อยคงไม่มีใครเตือนแล้ว
เขาจะสาปแช่งแทน