คลิกฟังบทความ..⬇️
เปลว สีเงิน
เมื่อวาน เป็น “โจ๊ก อัคนี”
แต่วันนี้ กลับเป็น “โจ๊ก วารี” เงียบฉี่-หายต๋อมซะงั้น!?
ดีแล้วครับ
สถานการณ์อย่างนี้ พูดให้น้อยมากเท่าไหร่ ได้มากกว่าเสียเท่านั้น
ในศึกสงคราม สถานการณ์ “เป็นรอง” ใช่ว่าจะแพ้เสมอไป
เพราะการศึกนั้น
ถ้าผู้นำทัพใด ยามได้ที ผยอง ลำพอง อวดเก่ง-อวดกล้า โดดขึ้นหลังคา ตีปีก โก่งคอขัน
เดี๋ยวมันก็พัง!
ทำนองเดียวกัน ผู้นำทัพ แม้เสียที แต่มีสติตั้งรับ เกาะกุมสถานการณ์ได้เยี่ยงขุนศึกชำนาญรบ ที่เจนจบในศาสตร์ “ถอยคือรุก-รุกคือถอย”
“อรุณรุ่ง” ยังจะมีในวัน “พรุ่งนี้” ให้สัมผัส!
สอง-สามวันที่ผ่าน “บิ๊กโจ๊ก” ดูจะสติแตกจนเสียบุคลิกภาพนายตำรวจระดับหัวแถวไปเยอะ
การ “ระเบิดอารมณ์” ไปในหลายๆ เรื่องนั้น สะใจคนฟัง แต่วาจาที่พรั่งพรู นั้น จะพาตัวเองพังในภายหลัง ชนิดแก้ยาก
อย่างเช่นที่ให้สัมภาณ์เป็นข่าวแพร่หลายว่า
“ผมจะไม่เอาคืน แต่ผมมีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่ไม่ขอบอกว่า เป็นข้อมูลของใคร
ที่ผ่านมา ทำงานอย่างตรงไปตรงมาในทุกคดี คดีที่เกี่ยวกับเว็บพนันไปเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ยืนยันว่าเงินที่อยู่ในบัญชีไม่มีเงินใครแต่เป็นเงินของบ้านผมทั้งหมด”
ที่พูดเช่นนี้ ใครตาย?
หนึ่งในนั้น ที่แน่ๆ “บิ๊กโจ๊ก” นั่นแหละ “ตายก่อน” เพื่อน!
“ผมมีข้อมูลอยู่มาก……
ถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
หมายความว่าไง?
ก็หมายความว่าทุกวันนี้ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ไม่ต่าง “สำนักงานโจรในเครื่องแบบตำรวจแห่งชาติ”
“บิ๊กโจ๊ก” เป็นรองผบ.ตร.
นั่นเท่ากับ “รองหัวหน้าสำนักงานโจรในเครื่องแบบ” ที่จ่อจะขึ้นเป็น “หัวหน้าโจร” ในวันใด-วันหนึ่งดีๆ นี่เอง
เพราะทั้งที่รู้ว่าตำรวจประพฤติตนเป็นโจรในเครื่องแบบมาตลอด แต่กลับปล่อยปละ
เช่นนี้ ไม่ส่งเสริมก็เหมือนส่งเสริม เพราะตัวเองเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสตช.
นอกจากไม่จัดการใดๆ แล้ว ยัง “ปกปิดข้อมูล” เหล่าตำรวจโจรไว้อีกตะหาก ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่า…..
นี่เข้าข่าย “ละเว้นการปฎิบัติและการไม่ปฎิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๕๗ หรือไม่!?”
เห็นมั้ย การรบด้วยอารมณ์ วาจาที่คิดว่าจะเชือดเฉือนเขา มันกลับเชือดคอตัวเราเองง่ายๆ อย่างนี้แหละ!
ทุกวันนี้ พูดกันตรงๆ ทั้งประเทศต่อให้นอกประเทศด้วย ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า
ตำรวจไม่คอร์รัปชัน ไม่ใช้กฎหมายในมือไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ
ทำไมโจรต่างชาติจึงแห่กันมาสุมหัวตั้งแก๊งเต็มในเมืองไทยทุกวันนี้ แถมท่องภาษาไทยมาประโยคเดียว พูดชัดในทันทีที่เหยียบประเทศไทย คือคำว่า
“เอาเท่าไหร่?”
คำตอบในประเด็นนี้ มันก็ชัดอยู่ในคำพูดของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ที่ว่า
“ผมมีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” นั่นแหละ
เพราะอย่างนี้ ผมจึงบอกว่า ดีแล้ว “ที่บิ๊กโจ๊ก” ไปนั่งหันหน้าเข้าฝา ตั้งสติ “สงบอารมณ์” และ “ปิดวาจา” เพื่อทบทวนตัวเองซัก ๒-๓ วัน
จากนั้น จะว่าไงต่อ ท่านก็ชำนาญด้าน “รู้ทางหนี-ทีไล่” อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น จะสอบสวนต้อนโจรจนมุม จนลากคอเข้าคุกซะมากต่อมากมาได้อย่างไร จริงมั้ย?
ก็ใช้ “วิชาโจร” นั่นแหละ “จับโจร”
เหมือนถูกหนามตำ ผมไม่เคยเห็นใครใช้สากกระเบือทู่ๆ ไปบ่งหนามเลย เห็นแต่เอา “เข็มแหลม” ไปบ่ง “หนามแหลม” ออกจากเนื้อกันทั้งนั้น
เออ….
พูดกันมา ๓ วัน ๗ คืน สรุปแล้ว ขณะนี้ “บิ๊กโจ๊ก” สู้อยู่กับใคร?
กับผบ.ตร.ดำรงศักดิ์ก็ไม่ใช่ กับ ๔ รองผบ.ตร.ที่เข้าชิงตำแหน่งผบ.ตร.ก็ไม่ชัด
กับ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ที่ได้รับความเห็นชอบจากก.ตร.ให้ขึ้นเป็นผบ.ตร.คนที่ ๑๔ ต่อจากพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ยิ่งไม่ใช่ใหญ่
เพราะหลังจากที่ประชุมก.ตร.ประกาศให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็นผบ.ตร.(๒๗ กย.๖๖)
“บิ๊กโจ๊ก” ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า
“ก็ต้องแสดงความยินดีด้วย ส่วนตัวก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหากัน”
แล้วจาก “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่กลายเป็น “โจ๊ก อัคนี”…..
“อัคนี” คือไฟที่เผาไหม้นี้…..
เชื้อมาจากไหน หรือจากถูกทะลายห้าง ตัวเองก็ไม่กล้าพูดว่าคำสั่งมาจากใคร และมีเหตุให้เขาค้นจริงหรือไม่ ได้แต่ควันออกหู จนอัคนีลุกพรึ่บ เผาไหม้ตัวเอง?
พูดถึงผบ.ตร.คนใหม่ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ดูเหมือนสังคมข่าวพยายามโหมกระแส โปรโมทให้ท่านเป็นคู่กรณีกับบิ๊กโจ๊ก
แต่ผมสังเกตมาตลอด ไม่ว่ามีข่าวด้านบวก-ด้านลบ
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะยึดเส้นทางพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะบท “อุเบกขา” เป็นสรณะ
ใครสรรเสริญ ก็ยิ้มรับ ใครนินทา ก็ยิ้มรับ ใครสุมฟืน-ใส่ไฟ ท่านก็นิ่ง ใครเอาน้ำมาสาดไฟ ท่านก็นิ่งในร้อน-ในเย็น
กระทั่งได้รับเลือกเป็นผบ.ตร.ด้วยเสียงซุบซิบผสมนินทา ท่านก็ใช้อุเบกขาตั้งรับ
ได้เป็น “ว่าที่ผบ.ตร.” ตอนบ่ายปุ๊บ
ตอนค่ำ ไปจับแก๊ง “ค้ายาเสพติด” ปั๊บ ที่นครปฐม!
บิ๊กโจ๊ก เห็นมั้ย ใช้สไตล์สามพราน พลุ่งพล่านไป ก็เข้าตำรา “พูดไปก็สองไพเบี้ย”
ใช้ตำรา “รัฐศาสตร์” ตั้งรับอย่างพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ “นิ่งเสียตำลึงทอง”
“บางครั้ง-บางคน” บุญวาสนาเหนือกว่าอาวุโสมีให้เห็นเยอะแยะไป
และทั้งคำว่าอาวุโสและคำว่าบุญวาสนา มันก็ไม่ใช่คำตอบของคำว่า “ถูกต้อง” ที่ตรงความจริง
การรู้จักหน้าที่ ใครมีหน้าที่อย่างไร ทำงานในหน้าที่นั้นให้เต็มกำลังสติปัญญา ด้วยซื่อสัตย์-สุจริต
การทำหน้าที่ตามทำนองคลองธรรมนั้น เป็นความ “ถูกต้อง” ที่ตรงความจริง
และเมื่อถึงเวลา ความถูกต้องนั้น จะให้ผลสมบูรณ์ ยั่งยืน ชนิดที่ใครจะเบี่ยงเบน-กลั่นแกล้งให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย!
ไม่ต้องไปแข่งกันหรอก…ตำแหน่งผบ.ตร.นั่นน่ะ
เพราะตำแหน่งผบ.ตร.เป็นให้ชาวบ้านด่าแค่คนละปี-สองปี ก็เกษียณไป ไม่มีรอยอาลัยฝากไว้เป็นสัญลักษณ์นิรันดร์คู่สถาบันตำรวจ
งานในหน้าที่ตะหาก……
ไปแข่งกันกู้ภาพ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” กลับคืนจากความเป็น “สำนักงานโจรในเครื่องแบบตำรวจ” อย่างนั้นดีกว่า
เพราะทุกวันนี้ “ตำแหน่งสูงสุด” ของสถาบันตำรวจ ซึ่งเหนือกว่า-ยิ่งใหญ่กว่าตำแหน่งผบ.ตร.ยังว่างอยู่
ไม่ใช่เพิ่งว่าง หากแต่ว่างมานานนับหลายทศวรรษแล้ว
นั่นคือ ตำรวจผู้ “มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี” แท้จริง คู่ควรแก่การยกย่อง เป็น “นายแบบ”
ให้ปั้นรูป “ตำรวจอุ้มประชาชน” เป็นอนุสาวรีย์ ไว้หน้าที่หน้า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ปทุมวัน แทนของเดิม
ของเดิม ท่านศาตราจารย์ “ศิลป์ พีระศรี” อิตาเลียนผู้มีจิตวิญญานไทย
อุทิศตัวเพื่อศาสตร์แห่งศิลป์ไว้กับประเทศไทย ด้วยรักประเทศไทยมากกว่าคนไทยอีกนับร้อย-นับล้านๆ คนด้วยซ้ำ
ท่านปั้นไว้ ที่หน้า “กรมตำรวจ” ปทุมวัน เมื่อปี ๒๔๙๖ ซึ่งถูกย้ายไปไว้ที่สามพรานนานแล้ว
รูปปั้นฝีมืออาจารย์ศิลป์นี้ เป็นรูปตำรวจยืนอุ้มคนเจ็บ มีเด็กญาติคนเจ็บเกาะขาตำรวจ เป็นภาพอยู่ในความจำคนไทย
แต่ไม่มี “ในความจริง” ทุกวันนี้!
คำว่า “ผู้พิทัษ์รับใช้ประชาชน” ที่ฐานอนุสาวรีย์ มันเป็นคำยกย่องหรือคำประจานตำรวจยุคนี้ สุดจะเอ่ย
ตัวเล็กๆ ของตัวหนังสือคำขวัญ แต่ดูเหมือนให้ความรู้สึกสะท้อนความยอกแสลงใจประชาชนที่ยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้มาก!
เนี่ย….
ตำแหน่ง “ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน” ยังว่าง
มาแย่งกันตรงนี้ดีกว่า เป็นตำแหน่ง “คงทน”
ส่วนตำแหน่งผบ.ตร.นั่นน่ะ มันมายา ใครมาก็รวยแลก “เสียงด่า” กลับไป แทบทุกราย!
เปลว สีเงิน
๒๙ กันยายน ๒๕๖๖