ผักกาดหอม
ช่างบังเอิญอะไรปานนั้น…
“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เพิ่งจะโชว์ผลงานทำทันที ลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละไม่เกิน ๓๐ บาท เป็นบุตรชายของผู้บุกเบิกกิจการด้านพลังงานของไทย
คือ “พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค” ครับ
สนใจเข้าไปดูในเว็บไซต์ www.pirapan.net ได้ครับ
ประวัติคร่าวๆ พลโทณรงค์ เป็นอดีตเจ้ากรมการพลังงานทหาร และผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิง สังกัดกระทรวงกลาโหม
ช่วงนั้นประเทศไทยกำลังเร่งรัดพัฒนาประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พลโทณรงค์ เป็นผู้บุกเบิกก่อสร้าง “โรงกลั่นน้ำมัน” แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒
เป็นผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน “สามทหาร”
วัตถุประสงค์คือ เพื่อจำหน่ายน้ำมันที่ขุดและกลั่นได้เองจากโรงกลั่นน้ำมันที่อำเภอฝางให้ประชาชนใช้ในราคาถูก
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ในประเทศในเวลาต่อมา
กระทั่งยุครัฐบาลสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้แปรสภาพองค์การเชื้อเพลิงและปั๊มน้ำมันสามทหารให้กลายมาเป็น “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย”
และกลายมาเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
ฉะนั้นรัฐมนตรีพลังงานคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
ลดราคาน้ำมันช่วยชาวบ้านได้จริง แต่ก็ไม่ยั่งยืน เมื่อกองทุนน้ำมันติดลบ สุดท้ายก็ต้องเอาจากราคาน้ำมันไปเติมอยู่ดี
แต่นโยบายการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีเพื่อลดราคาน้ำมันนี่สิครับ ไม่ค่อยมีรัฐบาลไหนพูดถึง และไม่มีรัฐบาลไหนอยากทำ
เพราะอะไร?
กลัวกระทบกับโรงกลั่นในไทย
หรือไม่สามารถลดราคาน้ำมันได้จริง
ผู้รู้หลายๆ คนพูดไปในทิศทางเดียวกัน ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์น้ำมันส่วนใหญ่สามารถนำเข้าโดยเสรี ไม่มีข้อจำกัดอะไร แต่มีเงื่อนไขการสำรองน้ำมันเท่านั้น
“ค่าการตลาด” ปัจจุบันมีผลกับราคาน้ำมันไม่มากนัก บางช่วงใกล้เคียงกับสิงคโปร์
บวกค่าขนส่ง ค่าประกัน ในการนำน้ำมันสำเร็จเข้ามา ราคาที่ซื้อจากโรงกลั่นภายในแทบไม่ต่างจากราคานำเข้า
ดังนั้นถึงเปิดเสรี ก็ไม่น่าจะทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นกับราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแตกต่างกัน
และการตั้งราคาหน้าโรงกลั่นในไทย ก็อ้างอิงราคาสิงคโปร์
หรือจะเลิกอ้างอิงราคาสิงคโปร์
ยาวล่ะครับทีนี้!
ก็ต้องรอรัฐมนตรีพีระพันธุ์ ท่านลงในรายละเอียดครับ บางทีเส้นผมอาจบังภูเขา
จะสร้างแรงจูงใจในการนำเข้าอย่างไร
ปัจจุบันโรงกลั่น กลั่นน้ำมันได้เกินกำลังการใช้ หรือได้เกิน ๑ ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่ปริมาณการใช้ไม่ถึง ๑ ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปัจจุบันกิจการน้ำมันเป็นตลาดเสรี ทั้งนำเข้าและส่งออก พันกันไปทั้งโลก
อย่าไปอิจฉาประเทศผลิตและส่งออกน้ำมันครับ นั่นเพราะเขาส่งออกได้มาก จนสามารถอุ้มประชาชนในประเทศโดยขนหน้าแข้งไม่ร่วง
ไทยจะไปทำแบบนั้นไม่ได้
ก็ไม่ง่ายครับจะทำให้น้ำมันราคาถูก
เว้นเสียว่ารัฐบาลสามารถหารายได้อันมหาศาลจากแหล่งอื่นได้ ก็อาจจะลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้อีก
แต่กรณีนี้ รัฐมนตรีพลังงานคนเดียวทำไม่ได้แน่นอน มันต้องเล่นดนตรีเพลงเดียวกันทั้ง ครม.
ท่องเที่ยวเพิ่มอีกได้มั้ย ขอเป็นท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณที่มาแย่งทรัพยากร
อุตสาหกรรมยุคใหม่ มีนวัตกรรมใหม่ เทคโนโลยีสมัยใหม่ มากพอแล้วหรือยัง
พาณิชย์จะขายอะไรเพิ่ม และยังขายใครเพิ่มได้อีก
แรงงานทักษะสูงมีเพียงพอหรือเปล่า
EEC ต้องบูมกว่านี้ รัฐบาลมีแผนอะไรบ้างหรือเปล่า
ถ้ารัฐบาลไม่สามารถหารายได้เพิ่มได้ ขณะเดียวกันกลับมาแต่นโยบายลดแลกแจกแถม ท่องไว้เลยครับ หนี้ๆๆๆ มีแต่หนี้
ประชาชนนี่แหละครับเป็นผู้ที่ต้องชดใช้หนี้ ส่วนรัฐบาลมาแล้วก็ไป ดูกรณีรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่าง
ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดเรื่องไทยขุดน้ำมันเอง กลั่นเอง และส่งออกด้วย แต่ทำไมน้ำมันราคาแพง อยู่มากครับ
มีการยกตัวอย่างบรูไน มาเลเซีย ส่งออกเหมือนกัน แต่น้ำมันถูกกว่าไทยมาก
ไทยลิตรละเกือบจะ ๔๐ บาทแล้ว
ทำไมบรูไนไม่ถึง ๑๔ บาท
ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพ
มี ๒ ครอบครัว
ครอบครัวหนึ่งลูก ๑๐ คน ทำนา ๑๐ ไร่
อีกครอบครัวมีลูกคนเดียว ทำนา ๑๐ ไร่เหมือนกัน
ครอบครัวไหนเหลือกินเหลือใช้ แถมยังเอาไปขายได้อีกต่างหาก
แล้วครอบครัวไหนกินไม่เหลือ ต้องซื้อข้าวมาเพิ่มเติม
มาตรการลดแลกแจกแถมเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ซึ่งรัฐบาลน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ฉะนั้นการพูดถึงมาตรการระยะยาว ที่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวรรัฐบาลต้องให้ความสำคัญมากกว่า
แต่มาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะยาวส่วนใหญ่เอาไปหาเสียงไม่ได้ครับ เพราะมันคือต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่าย
อาทิ การปรับโครงสร้างภาษีใหม่ เพื่อให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น
การแก้กฎระเบียบต่างๆ เพื่อเอื้อให้เกิดการลงทุนมากขึ้น
ต้องใช้เวลาครับ
สำหรับประชาชนก็มีส่วนสำคัญในการกอบกู้เศรษฐกิจชาติ
ต้องทำหน้าที่พลเมืองดีอย่างแข็งขัน ไม่หลบเลี่ยงกฎหมาย
เรามีบทเรียนมาแล้วยุครัฐบาลลุงตู่ กับโครงการคนละครึ่ง
ร้านค้าจำนวนไม่น้อยถอยกรูด เพราะไม่อยากเข้าระบบภาษี
ไม่อยากเสียภาษี
ครับ…วานนี้ (๑๔ กันยายน) นายกฯ เศรษฐา พร้อมคณะขุนคลัง เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง
เริ่มจาก พระพรหมเอราวัณ, ศาลพระภูมิเจ้าที่, พระคลังมหาสมบัติ, พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕
หลังจากนั้น คล้องช้างคู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง มีความเชื่อว่า รัฐมนตรีคลังคนใหม่จะต้องคล้องพวงมาลัยหลังช้าง หากพวงมาลัยขาดจะเป็นฤกษ์ที่ไม่ดี
ราบรื่นครับ พวงมาลัยไม่ขาดทั้งสองฝั่ง
นายกฯ เศรษฐาจะทำให้ประชาชนเป็นเศรษฐีได้หรือเปล่า ตามดูกัน