ผักกาดหอม
เอาแล้วไง!
วานนี้ (๒๘ พฤษภาคม) กลุ่มคนเสื้อแดง FC พรรคเพื่อไทย ไปรวมตัวที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกมาจากการร่วมรัฐบาล
ทำไมเป็นงั้นหละครับ
มิตรรักแฟนเพลงทุกพรรค อยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรให้ FC พรรคเพื่อไทยกลุ่มนี้ อยากให้พรรคที่รักไปเป็นฝ่ายค้าน
ไปดูข้อเสนอ ๕ ข้อกันครับ
๑.ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้
๒.ให้เกียรติพรรคอันดับ ๑ ได้รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมือง
๓.ให้โหวตสนับสนุนแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคที่ได้อันดับ ๑
๔.ให้โหวตสนับสนุนกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
และ ๕.ถ้าพรรคอันดับ ๑ ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิในการเป็นพรรคอันดับ ๒ รวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนมาผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป หรือแล้วแต่พรรคจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น
เป็น ๕ ข้อเสนอที่ลึกซึ้งทีเดียวครับ
ไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริง ไม่มีทางเขียนข้อเสนอที่ซับซ้อนในการแสดงท่าทีแบบนี้ได้
โดยเฉพาะข้อ ๓ ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับข้อ ๑
FC กลุ่มนี้เก่งครับ
วางเพื่อไทยไว้เหนือทุกพรรคการเมือง
สปิริตสูงครับ
แต่หลังฉากเป็นคนละเรื่องครับ
กะกินรวบ
เป็นเรื่องยากมากครับ ที่ก้าวไกลจะล็อบบี้ ส.ว. กว่า ๖๐ คน ให้ช่วยโหวต “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี
ฉะนั้นการที่เพื่อไทยโหวตให้ “พิธา” เป็นนายกฯ จะได้ใจสีส้มไปเต็มๆ แต่ผลลัพธ์ คือสิ่งที่ต่างออกไป
เพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้ว เสียงสนับสนุน “พิธา” เป็นนายกฯนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การวางหมากถอยออกมาจากก้าวไกล และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอับดับ ๒ คือแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น
ที่มีข่าวว่าเริ่มได้กลิ่นตุตุ ก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน มันถูกกำหนดตั้งแต่หลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว
FC เพื่อไทยกลุ่มนี้มาช่วยโยนหินถามทางถึงหน้าพรรค ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้แต่ช่วยโหวตให้ “พิธา” เป็นนายกฯ เป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถูกด่าน้อยที่สุด ใครจะบอกว่าทรยศหักหลังก็ไม่ได้ เพราะก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เอง
สอดคล้องกับเกินเดินสายพบปะผู้คนของว่าที่คณะรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้รับเสียงตอบรับสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ที่มีคำถามว่า พัฒนา หรือ หายนะ
เช่น “ศิริกัญญา ตันสกุล” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงวิสัยทัศน์ตามตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ประสบการณ์เชิงบริหารยังไม่มี
วิสัยทัศน์จึงขาดๆเกินๆ
ตัวตึงก้าวไกล อย่าง “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ก็สร้างปัญหาให้พรรคห่างจากการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ
รู้อยู่แล้วว่า ม.๑๑๒ คือ จุดตายของก้าวไกล แต่กลับเอามาตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของก้าวไกล ว่าไม่เคยลดราวาศอกแม้แต่นิดเดียว
“อมรัตน์” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กข้อความว่า
“ม.๑๑๒ นี่ครอบคลุมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยรึเปล่า ?”
คิดว่าคนโพสต์มีทัศนคติกับ สถาบันพระมหากษัตริย์ และม.๑๑๒ อย่างไรครับ
เอาพระสยามเทวาธิราช มาล้อเล่นการเมือง
พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ห้ามกันไม่ได้
แต่ พระสยามเทวาธิราช มีที่มาที่ไป และผูกโยงกับความเป็นไทย
สยามตอนต้นรัตนโกสินทร์หวุดหวิดจะกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาทุกครั้ง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยนี้มีเหตุการณ์หวิด ๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้รอดพ้นภัยมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาไว้
จึงเห็นสมควรจะทำรูปเทพองค์นั้นขึ้นถวายสักการะบูชา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ ๑) นายช่างสิบหมู่ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นขึ้น แล้วหล่อด้วยทองทั้งองค์
ทรงถวายพระนามว่า “พระสยามเทวาธิราช”
คนไม่เชื่อก็มองว่าเป็นแค่ “ทองคำหล่อ” มิได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่อย่างใด
คนที่เชื่อ ก็รู้ครับว่าเป็น “ทองคำหล่อ” แต่มีมูลค่าทางจิตใจเหลือคณานับ เป็นศูนย์รวมทางจิตใจยามที่ประเทศมีปัญหาไร้ซึ่งทางออก
จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ
หากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตใจทำเพื่อชาติศาสน์กษัตริย์ ปัญหาจะทุเลาเบาบางลง
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุด จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจชาติศาสน์กษัตริย์ การเสียสมดุลจะบังเกิด สุกท้ายจะกลายเป็นประชาชนที่ไร้ราก
ฉะนั้นฝากไปถึงก้าวไกล ใช่ส.ว.จะมองแค่เรื่องแก้หรือไม่ ม.๑๑๒ อย่างเดียว
ท่าทีที่ไม่เป็นมิตร และก้าวร้าวต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำกันมาต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ส.ว.จะยกมือเลือกหรือไม่เลือก “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เริ่มกลัวว่าหากก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะก่อปัญหาเรื่องต้นทุนจนไม่อาจสู้ ประเทศเพื่อนบ้านได้
อ่านโพสต์ของ “นันทิวัฒน์ สามารถ” เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง “Gang of 4”แล้วอดคิดไม่ได้
“….สภาพการณ์การเมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นยัน เป็นช่วงของการต่อรองเพื่อผลประโยชน์และความได้เปรียบทางการเมืองของนักการเมือง จะจบยังไงปล่อยวางไว้ก่อน
น่าเป็นห่วงต่อแนวความคิดของกลุ่มวัยรุ่นที่ถูกอ้างว่าเป็นมวลชนของคนก้าวหน้า ที่นิยมความรุ่นแรง ชอบการข่มขู่ ขยันลงถนน แถมชื่นชมแนวคิดพ่อแม่มีหน้าทึ่เลี้ยงลูก ไม่ถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ไม่ต้องนับถือผู้อาวุโสกว่าด้วยการเรียกขาน ลุงป้าน้าอา ให้ใช้สรรพนาม คุณผม แทน
ประการสำคัญ ปลุกระดมต่อต้านให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ที่ใช้ปกป้องสถาบันฯ อยากสะท้อนพัฒนาทางการเมืองของไทยในเวลานี้ คล้ายๆกับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในจีน ในยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน มีกลุ่มบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พยายามที่จะยึดอำนาจการนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพยายามทำลายล้างคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มนึ้ประกอบด้วย เจียงชิง เมียของประธานเหมาเจ๋อตุง จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวนและหวังหงเหวิน และถูกเรียกว่า Gang of Four หนึ่งหญิงสามชาย เหมือนหรือคล้ายกับเมืองไทยมั้ย
ในช่วงปี 1966 – 1976 แก๊ง 4 คนของจีนได้ตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ที่มุ่งมั่นทำลายระบบความเชื่อเดิมๆของจีน ทำลายแนวคิดทุนนิยม รื้อเลิกระบบครอบครัว ให้เยาวชนเรดการ์ดตรวจสอบพ่อแม่ ลากพ่อแม่เอาแห่ประจานกลางเมืองในข้อหาเป็นนายทุนจักรวรรดินิยม. รวมทั้ง เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เป็นตัวแทนของการพัฒนาจีนให้ทันสมัย
แต่สุดท้ายแก๊งออฟโฟร์ถูกกำจัดและติดคุก ผู้นำแนวความคิดทุนนิยมคือ เติ้งเสี่ยวผิง ได้กลับเข้ามามีอำนาจและพัฒนาประเทศจีนด้วยนโยบายสี่ทันสมัย ฟื้นฟูจีนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม
อะไรที่มันสุดโต่ง ไปไม่รอดหรอก ฝืนธรรมชาติ….”
วันนี้เราเผชิญกับนักการเมืองสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่สุดท้ายแล้ว “พระสยามเทวาธิราช” ยังคงคุ้มครองให้ประเทศไทยเดิหน้าต่อไปได้ครับ