ผักกาดหอม
ร้อนครับ
อากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ร้อนตับแตก
ตับแตก ไม่ใช่ตับที่อยู่ในพุง แต่เป็นตับจาก
ร้อนตับแตกพูดกันแต่โบราณ บ้านเรือนสมัยก่อนหลังคามุงจาก ถึงหน้าร้อนถูกแดดเผา ตับจากโก่งตัว มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ
จากที่เรียบชิดกลายเป็นมีร่องมีรู เพราะตับแตก คนโบราณถึงได้เรียกร้อนตับแตก
แต่คนยุคใหม่เข้าใจว่า เป็นตับที่อยู่ในพุง ร้อนจนตับในพุงแตก แสดงว่าร้อนมาก ฉะนั้นก็ถือว่าอธิบายเรื่องความร้อนสุดจะทนได้เหมือนกัน
อุณหภูมิการเมืองช่วงนี้ก็ร้อนไม่แพ้กัน แม้จะเป็นช่วงสงกรานต์ มีน้ำอบน้ำปรุงให้พอชื่นใจได้บ้าง แต่ก็มีตับแลบ ตับแตก ให้เห็นเหมือนกัน
ยังมีประเด็นคาใจในนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท ของพรรคเพื่อไทยอยู่ เพราะยังไม่มีใครรู้แน่ชัด ว่าคือ จิ้งจก จระเข้ หรือตัวเงินตัวทอง ก็ออกมาขู่จะฟ้องกลับกันเสียแล้ว
ประเทศนี้หากวิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองไม่ได้ ก็อัญเชิญ “คิม จองอึน” มาเป็นนายกรัฐมนตรีเถอะครับ
มันจะได้เป็นเผด็จการแบบแลนด์สไลด์
ฝ่ายประชาธิปไตย ประสาอะไรกัน จะใช้กฎหมายปิดปากไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายที่มีผลกระทบมากมายมหาศาลกับประเทศและประชาชนในอนาคต
ครับ…หันไปดูทัศนคติทางการเมืองของ “เศรษฐา ทวีสิน” เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เทียบกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้ว ใครจะแย่กว่ากัน
สืบเนื่องจากวันก่อนที่ “เศรษฐา” อธิบายนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท ว่าทำไมถึงแจกแหลกคนอายุตั้งแต่ ๑๖ ปีขึ้นไปทุกคน ทำไมไม่แยก คนรวย คนจน
คำพูดจากปาก “เศรษฐา” คือ….
“…ถ้าเกิดบอกว่า ๑๘ ปี หรือ ๒๐ ปี ก็จะมองว่ามีวาระซ่อนเร้นซื้อเสียงหรือเปล่า”
“ผมเชื่อว่าอายุ ๑๖ ปี มีวุฒิภาวะพอแล้ว”
“รัฐธรรมนูญระบุว่าต้องเท่าเทียมกัน คนที่เดือดร้อนก็ได้ คนรวยคนจนได้เหมือนกัน”
ฟังแล้วต้องกุมขมับ หาก “เศรษฐา” เกิดได้เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาจริงๆ นายกฯ คอ-นก-รีต จะมีคู่แข่งคนสำคัญอย่างแน่นอน
ไม่ทราบว่า ไม่รู้ หรือแกล้งโง่
หลัก “ความเสมอภาค-เท่าเทียม” เป็นหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรับรองไว้
นอกเหนือจาก หลัก “สิทธิ” “เสรีภาพ” และ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” หลักการนี้ได้รับการบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งในมาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญว่า….
“บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน”
มันคือความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย
แต่นี่เรากำลังพูดถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าเอาตาม “เศรษฐา” หลายรัฐบาลที่ผ่านมาทำผิดรัฐธรรมนูญกันหมด
เพราะทุกนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้หลักเท่าเทียม ทุกคนต้องได้หมด
ตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางมากี่ปีแล้ว ได้ไปเท่าไหร่
คนจน เข้าถึงโครงการของ แสนสิริ หรือเปล่า
ฉะนั้นอย่าอ้างหลักการนี้เลยครับ เหม็นขี้ฟัน
ที่จริงก่อนอ้างเรื่องเสมอภาค ควรตอบให้ได้ก่อนว่า เอาเงินมาจากไหน เพราะผู้เสียภาษี เขาอยากรู้ว่าที่เขาจ่ายไปนั้น เขาได้รับกลับอย่างเสมอภาคหรือไม่
ว่าไปแล้ว โดยตัว “เศรษฐา” เอง ไม่ได้มองมิติความเท่าเทียมกันตามกฎหมายมาก่อนด้วยซ้ำ
แต่พอลงเล่นการเมืองปุ๊บ ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้ซึ่งยึดมั่นในหลักเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ขึ้นมาทันที
ครับ…จะเอาหลักเท่าเทียมมาจับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีหลายมิติ และมีวิธีการแก้ไขเฉพาะจุด
รากหญ้าใช้วิธีการหนึ่ง
นักลงทุนก็อีกวิธีหนึ่ง
หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล มีแนวโน้มสูงมากว่าคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ “แพทองธาร ชินวัตร” แต่เป็น “เศรษฐา”
แล้วมันเหมาะหรือ?
ฉะนั้นต้องส่งสารไปถึงกองหนุน แนวร่วม มวลชน ของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคนเสื้่อแดง ว่าอย่าพาประเทศไปผิดทาง
คนที่ส่งสารได้ดีที่สุด ไม่ใช่ใครอื่น คืออดีตคนวงในระบอบทักษิณ “จตุพร พรหมพันธุ์”
“…ความอยากได้คะแนนเสียงแบบง่ายๆ จึงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการอธิบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่สมเหตุสมผล โดยพรรคเพื่อไทยใช้เงิน ๕.๔ แสนล้านจะกระตุ้นได้แค่แจกคนจน ๒๒ ล้านคนเท่านั้น ส่วนคนรวย ๓๒ ล้านคนที่ได้รับแจกด้วย ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจเลย เพราะพวกนี้ยังใช้ชีวิตตามปกติ ไม่มีเดือดร้อนเรื่องปากท้องอดอยาก…
…การพยายามกล่าวอ้างเอาเงินประเทศไปแจกให้คนรวยแล้วตัวเอง (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้รับด้วย จึงเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากเคยมีตัวอย่างแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่กล้าโหวตวาระสาม ในประเด็น ส.ว. สมัครเลือกตั้งได้สองสมัยติดต่อกัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง ถ้ากลับกันเมื่อแจกหมื่นบาทแล้ว นายเศรษฐาก็ได้ จะตอบอย่างไรกับการแจกเงินเพื่อตัวเอง…
…ให้เงินกู้กับพม่า หลักการดี ไทยเป็นประเทศผู้ให้กู้ แต่พม่าได้รับเงินกู้นำมาซื้อสินค้าในเครือ AIS ก็เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนทันที
อีกทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนาได้ประโยชน์กันจริง แต่พ่อค้าไม่ได้นำไปขายจีทูจีจริง และได้ประโยชน์ที่มากกว่าอีก ประเทศและประชาชนจึงเสียหาย
ถึงที่สุดต้องยืนหยัดต่อสู้กับความอยากได้อยากมีของคนรวยบางคนจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะเงินค่าวิ่งรถผ่านสะพาน ๑๐-๒๐ บาทยังเก็บ ย่อมแสดงถึงพฤติกรรมเอาประโยชน์ส่วนตัว ไม่เผื่อแผ่สังคม…
…เราต้องกล้าหวังให้ประเทศนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อที่มาของเงินแจกไม่สุจริต เราจะไปหวังว่า เขาจะบริหารประเทศโดยสุจริตได้อย่างไร การอ้าง รธน.เท่าเทียมก็ยังแจกไม่ครบ เด็กแรกเกิดถึงอายุ ๑๖ ปีไม่ได้รับ อย่างไรก็ตาม หัวเด็ดตีนขาด ผมไม่เห็นด้วย และต้องต่อต้านการแจกเงินหมื่นบาทให้คนรวยจนถึงที่สุด…
ก็ไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรมาก
ประเทศฉิบหายกับจำนำข้าวมาแล้วหลายแสนล้าน รัฐบาลลุงตู่ ต้องตั้งงบประมาณชดเชยความเสียหายอยู่หลายปีงบประมาณ
ผลประโยชน์ทับซ้อน รัฐบาลระบอบทักษิณ กับบริษัทตระกูลชินวัตร ทำให้รัฐเสียประโยชน์ไปเท่าไหร่
จะยอมให้เอางบประมาณแผ่นดินมาผลาญอีกรอบหรือ?