5 เมษายน 2566 น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย นายณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย หมายเลข 12 ลงพื้นที่วัดวิมุตยาราม เขตบางพลัด พูดคุยกับประชาชนที่มาเข้ารับการเกณฑ์ทหาร จับใบดำ-ใบแดง
น.ต.ศิธา กล่าวว่าถึงฤดูกาลเกณฑ์ทหารทุกปี จะมีคนที่สมัครใจอยากเป็นทหาร มีจำนวนไม่ครบตามที่รัฐต้องการ จึงทำให้คนที่ไม่อยากเป็น ต้องมาจับใบดำ-ใบแดง หรือถ้าพูดตามความเป็นจริงคือการบังคับให้เป็นทหาร โดยสัดส่วนแล้วมีทหารเกณฑ์ประมาณแสนกว่าคน 2 ปี ถูกเกณฑ์ปีละ 50,000 คน สมัครใจ30,000 คน และถูกบังคับให้จับใบดำ-ใบแดงราว20,000 กว่าคน หลายคนไม่สามารถไปเรียนต่อ หรือทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตามที่ตัวเองมุ่งหวังได้
น.ต.ศิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า พลทหารมีความจำเป็นสำหรับกองทัพ แต่ทหารที่เข้าไปโดยไม่ได้สมัครใจ อาจจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพมากที่ควร และจำนวนทหารเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน มีจำนวนมากเกินความจำเป็นของกองทัพ โดยส่วนเกินเกณฑ์เข้าไปเพื่อทำหน้าที่รับใช้ในเรื่องนอกราชการของนายทหารผู้ใหญ่ ต้องไปตัดหญ้าทำสวนบ้าง ขับรถรับส่งลูกของผู้บังคับบัญชาบ้าง
โดยงบประมาณที่ใช้สำหรับทหารเกณฑ์ปีละหมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งหากเราปรับลดจำนวนพลทหารลงเท่าที่จำเป็น งบประมาณก็จะเหลือ ถ้าเราเอางบประมาณมาโปะเป็นค่าตอบแทนก็จะมีคนสมัครมากขึ้น
นโยบายของพรรคไทยสร้างไทย คือการยกเลิกจับใบดำใบแดง และพลทหารจะต้องมาจากความสมัครใจ มีอนาคตที่จะเลื่อนขั้นและเติบโตในสายวิชาชีพนี้ ส่วนคนที่ไม่อยากเกณฑ์ทหาร และต้องการจะไปประกอบวิชาชีพอื่นก็ให้เขามีสิทธิ์ทำ เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม
ประกอบกับภัยคุกคามในโลกนี้ ได้เปลี่ยนจากสงครามในสนามรบไปแล้ว ผู้นำประเทศควรมีวิสัยทัศน์ในจัดสรรงบประมาณทุกด้านให้เหมาะสม ไม่ใช่เอะอะก็จะเพิ่มแต่งบด้านความมั่นคงทางทหารเพียงอย่างเดียว
นายณัฐวัฒน์ กล่าวว่าจากการไปคุยกับประชาชนที่มาเข้าคิวเกณฑ์ทหาร ถ้ามาสมัครโดยสมัครใจก็เพราะจะได้ลดหย่อนให้เป็นพลทหารแค่ปีเดียว ส่วนอีกหลายคนมีงานประจำ หรืองานที่อยากทำอยู่แล้ว ถ้าเลือกได้เขาอยากให้มีแต่สมัครอย่างเดียว ทุกวันนี้ที่เห็นข่าวเป็นลมหลังจับได้ใบแดง เราดูข่าวอาจจะตลก แต่ว่าคนที่โดนจริงไม่ตลก เขาต้องเสียอิสรภาพ ไม่มีโอกาสเลี้ยงดูพ่อแม่ ครอบครัว เสียโอกาส โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ คนที่เกณฑ์ทหารจะเสียรายได้ราว 160,000 บาท/ปี ดังนั้นการเกณฑ์ทหาร 2 ปี ประเทศจะเสียรายได้ประมาณสามหมื่นกว่าล้านบาท
