ตัวกำหนด “แพ้-ชนะ” เลือกตั้ง – เปลว สีเงิน

และไม่ใช่ใครที่ไหนไปทำอะไรเขา ก็ "พวกเขา" กันเองนั่นแหละ ออกมา "ลากไส้" กันเองให้กากิน เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง พูดตรงๆ ก็ทั้งก้าวไกลและทั้งเพื่อไทยนั่นแหละ

คลิกฟังบทความ..?

เปลว สีเงิน

วันนี้ (๒๘ กพ.๖๖)
วันสุดท้ายการประชุม “สมัยสามัญ” ของสภา
แต่ปิดสมัยประชุมยังไม่ลง
ต้องขยันกันจนหยดสุดท้ายด้วยวาระพิเศษ ว่าด้วยการพิจารณา “พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย” ที่ครม.เสนอ
ฝ่ายค้านสบช่อง……
เมื่อเป็นกฎหมายรัฐบาล ก็เตรียมใช้แทคติก ทั้งยื้อ-ทั้งยื่นตีความ เจตนาหวังคว่ำกฎหมายให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ

ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ๒๘ กพ.เพียง “ปิดสมัยประชุม” แต่สภายังไม่สิ้นอายุ
จะไปสิ้นเอา ๒๓ มีค.๖๖

ฉะนั้น ก่อนถึง ๒๓ มีค.ถ้าสภายังไม่ถูกยุบ สามารถเปิดประชุม “สมัยวิสามัญ” ได้
ก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เพียงบอกรู้เฉยๆ!

สภาเป็นสถานที่ให้สส.เขาออกกฎหมาย แต่เท่าที่สังเกต สภาในรอบ ๔ ปีที่ผ่าน การออกกฎหมายเพื่อประโยชน์สังคมชาติและประชาชน เขาจะไม่เน้น
ไปเน้นการใช้สภาอยู่ ๒ เป้าหมาย

เป้าหมายแรก
เพื่อแก้แค้นนายกฯ ประยุทธ์ที่เข้าควบคุมอำนาจประเทศ ทำให้การเมืองระบอบทักษิณต้องเป็น “กระสือลอยไส้” มา ๘-๙ ปีเต็ม (อาจต้องลอยต่อไปอีกเรื่อยๆ)

เป้าหมายที่สอง
แก้รัฐธรรมนูญ “ระบบเลือกตั้ง” ปูทางสู่การล้มสถาบันอย่างหนึ่ง และการคืนอำนาจระบอบทักษิณได้เข้าควบคุมประเทศอีกอย่างหนึ่ง

ฉะนั้น จะเห็นว่า “ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย” จะใช้ระบบสภาเอื้อต่อองค์ประชุมก็ต่อเมื่อจะ “เล่นเกม” เพื่อการตีรวนและใช้วาทกรรม “ส่อกำพืด” ใส่ประยุทธ์เป็นเป้าหมายหลัก

เว้นจากนี้ ก็คอยซ้ำให้ “สภาล่ม” แล้วนำเป็นประเด็น “ด่าประยุทธ์” เป็นอาหารเสริม!
แต่ก็แปลก ยิ่งตี แทนที่จะตาย ประยุทธ์กลับยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่คนตี กลับยิ่งแห้งเหี่ยว!?

บ้างก็เฉาตาย จากคนดีๆ แปรสภาพเป็นหมาในคอกบ้าง เป็นหัวหน้าหมาบ้าง สิ้นสภาพคนไปเองอย่างน่าประหลาด
ไม่กี่วันก่อน ใครไม่รู้ ไม่ทราบว่านิยมสีอะไร มีนิ้วครบ ๑๐ นิ้วหรือไม่ ขับรถไปคว่ำลงคูน้ำ ตัวเองตายคารถ
ท้ายรถที่โด่งขึ้นมา…….
เขียนข้อความ “ด่านายกฯประยุทธ์” ประจานตัวไว้

โถ…คนถูกแช่งด่า “สบายดี” แต่คนแช่งด่าเขา “ตายอนาถ”!?
เรื่องทำนองนี้ เขาพูดกันว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”

“มองไม่เห็น” แต่ก็ “เห็นๆ กันอยู่”……..
อย่างแลนด์สไล์ ก็ดี ปลุกล้มมาตรา ๑๑๒ ก็ดี
แรกๆ กระแสแรงพุ่งยังกะตะไล พักเดียว ตะไลก็หล่นใส่กระบาลคนปลุกกระแสทั้ง ๒ กรณี

และไม่ใช่ใครที่ไหนไปทำอะไรเขา
ก็ “พวกเขา” กันเองนั่นแหละ ออกมา “ลากไส้” กันเองให้กากิน เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง
พูดตรงๆ ก็ทั้งก้าวไกลและทั้งเพื่อไทยนั่นแหละ

อย่าง “ก้าวไกล”
ระดับหัวหน้า “ปิยบุตร-พิธา” และระดับลูกพรรค ที่ทนเห็นระบบโปลิตบูโรในหน้ากากประชาธิปไตย “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ไม่ได้

ลาออกไป แล้ว “ถลกหนัง” ให้เห็นเนื้อใน “ก้าวไกล” กับ “เมากาว” กริยาการจำแลงไม่ต่างกัน
ตอนนี้ จากขึ้นวาบ ก็ตกวูบ จนกระเพาะปัสสาวะปรับระดับความดันแทบไม่ทัน

เพื่อไทย ก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ใครจะไปคิด ที่จู่ๆ ตู่-จตุพร จะถล่มนาปาล์มใส่ทั้งพรรคใส่ทั้งกบาลหัวหน้าคอกหมา ทำเอาบรรดา “เสื้อแดง” ตาสว่างเป็นแถวๆ

แล้วใครไปทำให้เป็นอย่างนั้นล่ะ?
พรรคฝ่ายเผด็จการหรือ ทหารหรือ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายอย่างนั้นหรือ?

ตรงกันข้าม ทั้งทราบฝ่าย ทั้งไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนจาก “คนกันเอง-ยำกันเอง” ทั้งนั้น!
นี่แหละ ที่เขาบอกว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” มองไม่เห็นก็จริง
แต่ก็ “เห็นๆ กันอยู่”!

มนุษย์ทุกคน โดยพื้นฐานมี “เทพ” คุ้มครอง
“เทพ” ในที่นี้ ไม่ใช่ “อินทร์ พรหม ยม ยักษ์” ที่ไหน หากแต่หมายถึง “กุศล-อกุศล, สุจริต-ทุจริต” ในตัวผู้กระทำนั่นแหละ
คือ “เทพ” ผู้คุมครอง!

ดังพระราชนิพนธ์ “โคลงสุภาษิต” ของ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ดังนี้

ความรู้คู่เปรียบด้วย กำลัง กายแฮ
สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง

ปัญญาประดุจดัง อาวุธ
คุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม

นี่แหละ “ความรู้-สุจริต-ปัญญา-สติ” คือ “เทพ” ผู้คุมครอง ตามนัยพุทธภาษิตที่ว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”
และ “ใครทำกรรมอย่างใด ย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้นตอบสนอง”

ฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจ ที่เห็นคนโฉด มืดบอด หนาทึบในปัญญา มุ่งทำลายเขา แต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายฉิบหายล่มจม
เป็นอันว่าเรื่อง “เทพผู้คุ้มครอง” มองไม่เห็นก็จริง
แต่มีจริง!

ผมอ่านที่แม่หมอสมัครเล่น “ฟองสนาน จามรจันทร์” เขียน แต่จำดาว จำรายละเอียดไม่ได้ เพียงจำได้ในภาพสรุปว่า
ตั้งแต่ ๑ มีนา.คือพรุ่งนี้ เป็นต้นไป ดาวจะยก-ย้าย บ้านเมืองจะเฟื่องฟุ้ง ที่เลวร้าย จะผ่อนคลายคืนดี

ที่แลนด์สไลด์ จะสิ้นแรง
ที่ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ จากปางตาย กลับกลายเป็นฟื้น

ประเทศชาติ จะเลื่อนลั่นสนั่นเมือง ที่ไม่คาดฝัน จะได้เห็น ที่สำคัญเป็น จะไม่ได้เป็น

นี่…ผมว่าเอง หมายถึงอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน!?

ที่รู้ คือรู้อย่างเดียว นับจากพรุ่งนี้ บ้านเมืองไทยเราจะไม่ย่ำอยู่กับที่ จากสงกรานต์ ปี ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
นาฬิกา “ประเทศไทย” เข็มสั้น-เข็มยาว จะเดินหน้าตามกลไกเวลา ไม่มี “นาฬิกาตาย” หรือเวลา “นาฬิกาถอยหลัง” อีกแล้ว

“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาล ที่ ๑๐
เป็นที่ประจักษ์ใน “ทศพิธราชธรรม”

๑. ทานัง การพระราชทานราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ทรงเสียสละพละกำลังในการปกครองแผ่นดิน
๒. ศีลัง การตั้งและทรงประพฤติพระราชจรรยานุวัตรในเบญจศีล

๓. ปริจาคัง ทรงเสียสละสิ่งที่มีประโยชน์น้อยหรือไม่มีประโยชน์ เพื่อสิ่งมีประโยชน์กว่า เพื่อรักษาธรรม และรักษาราชอาณาจักรไทย

๔. อาชชะวัง ความซื่อตรงในฐานะผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อพระราชสัมพันธมิตร และอาณาประชาราษฎร

๕. มัททะวัง ทรงเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร

๖. ตะปัง ทรงตั้งพระราชอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจให้เป็นไปด้วยดี

๗. อักโกธะ ทรงไม่แสดงความโกรธให้ปรากฎ ทรงไม่มุ่งร้ายผู้อื่น ทรงมีพระเมตตา ไม่ทรงก่อเวรแก่ผู้ใด

๘. อะวีหิสัญจะ ทรงมีพระราชอัธยาศัย กอปรด้วยพระมหากรุณา

๙. ขันติญจะ ทรงมีพระราชจริยานุวัตร อันอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาพระราชหฤทัย และพระอาการ พระกาย พระวาจา ให้เรียบร้อย

๑๐. อะวิโรธะนัง ทรงตั้งอยู่ในขัตติยราชประเพณี ไม่ทรงประพฤติผิดจากพระราชจริยานุวัตร นิติศาสตร์ ราชศาสตร์ ไม่ทรงประพฤติให้คลาดจากความยุติธรรม

ทั้ง ๑๐ นี้ ล้วนประจักษ์ตา-ประจักษ์ใจมวลพสกนิกร เป็นมหาตบะบารมีแผ่ปกเกล้า-ปกกระหม่อม ก่อเกิดเป็นอานิสงส์ปกป้องผองภัยมวลหมู่พสกนิกรทั้งแผ่นดิน

ประเทศไทย จึงเป็น “มหัศจรรย์” อยู่ประเทศเดียว ท่ามกลางวิกฤติโลกที่ทำแต่ละประเทศแทบโงหัวไม่ขึ้นอยู่ขณะนี้

ผมจึงบอก ประเทศไทยมีอะไรที่ “มองไม่เห็น”
แต่ก็ “เห็นๆ อยู่”
และ “จับต้องได้” ในวิถีไทยที่ยึดมั่น “ชาติ-ศาสน์-สถาบันพระมหากษัตริย์”

ทุกอย่าง ไม่ว่า “การบ้าน-การเมือง” ต่างเชื่อมโยงส่งผลเกื้อและหักล้างถึงกันตามนัยแห่งวัฎฎะนี้

ฉะนั้น สิ่งที่นักการเมืองต้องตอบในปฎิบัติการสู่อำนาจบริหารประเทศ ก็คือ
เป้าหมายในการสู่อำนาจของท่าน “คืออะไร และ เพื่ออะไร?”

ถามใจท่านดู “สำเร็จ-ล้มเหลว” อยู่ตรงนั้น!

เปลว สีเงิน
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

 

Written By
More from plew
ได้อะไร “ในเสีย” ที่โคราช?
เหตุเกิดที่โคราช……….. นั่น “เสียดรู้สึก” และ “สูญเสียร่วมกัน” ทั้งประเทศ เกินพออยู่แล้ว ฉะนั้น ผมว่า เราน่าจะมองเรื่องนี้ในมุม “พฤติกรรมสังคมใหม่”
Read More
0 replies on “ตัวกำหนด “แพ้-ชนะ” เลือกตั้ง – เปลว สีเงิน”