สนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร ที่มีด้วยกัน 33 เขตเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างเตรียมส่งผู้สมัครทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ลงชิงชัยกันคึกคัก สำหรับพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) ที่ได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่คาดหวังจะปักธง-มาร่วมแชร์เก้าอี้ส.ส.เขต กรุงเทพมหานคร เช่นกัน
ที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติ ทำกิจกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานครไปบ้างแล้ว เช่นเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคนำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคไปดูงาน เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2566 ที่อาคารไปรษณีย์กลาง เขตบางรัก ส่วนวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ทีมว่าที่ ผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานครของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำกิจกรรมลงพื้นที่ปากคลองตลาด ในโอกาสวันแห่งความรัก 14 ก.พ.
หลังจากนี้ ต้องติดตาม การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 33 เขต รวมถึงการเปิดนโยบายพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
สำหรับหนึ่งในว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานคร ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่น่าสนใจก็คือ “ว่าที่ร้อยตำรวจเอกหญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางนา พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่เพิ่งลาออกจากการเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อเข้าสู่ถนนการเมือง เตรียมลงเลือกตั้งส.ส.กทม. เขตบางนา
โดย “ว่าที่ร.ต.อ.หญิงอัยรดา” หรือที่เรียกกัน “ผู้กองเบียร์” นับว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่-ยังบลัด พรรครวมไทยสร้างชาติที่น่าสนใจ เป็นนักกฎหมายรุ่นใหม่ ที่มีดีกรีการศึกษา คือหลังจบมัยธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็สอบเข้าเรียนต่อจนจบ ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากนั้น ไปศึกษาต่อจนจบปริญญาโทด้านกฎหมายที่ King’s College London ประเทศอังกฤษ และปัจจุบันกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งระหว่างเป็นนักเรียนนักศึกษา ก็ทำกิจกรรมต่างๆ มาตลอดทั้งด้านการเมือง การศึกษาและสังคม เช่นการเข้าร่วมโครงการ ยุวชนประชาธิปไตยของรัฐสภา รุ่นที่ 3 หรือการเป็นอาสาสมัครทำงานด้านสังคมและการศึกษาหลายครั้งเช่นการเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือ เป็นต้น
“ว่าที่ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์” ที่มีบิดาเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น คือ “คำรณ บำรุงรักษ์” อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบางนาหลายสมัย เล่าถึงการเข้าสู่ถนนการเมือง-การเลือกตั้งครั้งนี้
โดยเริ่มที่การพูดถึงความสนใจทางการเมืองของตัวเองว่า สนใจการเมืองมาตลอดตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ช่วงนั้นไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือการเมือง โดยก่อนหน้านี้ เมื่อตัวเองเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ก็อยากเข้าไปแก้ปัญหา
เช่น สมัยเด็กๆ ตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ เมื่อเห็นอาหารในโรงเรียนที่ขายกัน ก็ตั้งคำถามว่าสิ่งที่นำมาขายเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหรือไม่ ขายในราคาที่เหมาะสมหรือไม่ เราก็เริ่มคุยกับเพื่อนแล้วว่า เราเสียเงินซื้ออาหารรับประทานด้วยเงินจำนวนนี้ เราได้อาหารที่เหมาะสมหรือไม่ หรืออย่างตอนช่วง ป.6 โรงเรียนที่เราเรียนมีการให้ทำรายงานเรื่องระบบรัฐสภา
เราจะหาข้อมูล เราก็ไม่รู้จะหาข้อมูลจากไหน ก็โทรศัพท์ไปถามข้อมูลที่รัฐสภา เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยกลัว เพราะเราเห็นคุณพ่อที่เคยเป็นส.ก.มาก่อน ทำงานอยู่กับชุมชนและประชาชน มาตลอด ทำให้เราซึมซับ อะไรที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง และมาคิดว่าเราจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาได้หรือไม่ หากเห็นว่าทำได้ เราก็จะทำ
นอกจากนี้ เป็นคนชอบทำกิจกรรมมาตลอดเช่น ไปเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือที่คลองหลอด หรืออย่างเคยไปก่อตั้งทำบริษัท แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว เป็นบริษัทที่ทำพวก Summer Camp โดยไปจัดทำ Summer Camp ให้กับโรงเรียนต่างๆ เช่นโรงเรียนสวนกุหลาบหรือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เราเติบโตมา ไปสอนหนังสือแต่ละที่ และเราก็นำครูของเราไปจัดกิจกรรมให้กับมูลนิธิต่างๆ ด้วย ในแง่หนึ่งสำหรับเบียร์ แม้อาจจะดูเหมือนเป็น CSR แต่ก็เป็นความการเมืองในแง่ที่ทำให้เราเข้าไปเรียนรู้ชีวิตของคนที่หลากหลาย
“นักกฎหมายรุ่นใหม่จากพรรครวมไทยสร้างชาติ-ว่าที่ร.ต.อ.หญิง อัยรดา” กล่าวต่อว่า จากที่เล่ามาข้างต้น เบียร์มองว่า สิ่งเหล่านีคือจุดแตกต่างของคนที่จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะหากวันนี้เรามองแค่จากหนังสือ มองจากแค่บริบทของคนที่อยู่รอบตัว เราอาจไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับคนที่มีความลำบากในหลากหลายบริบท ทำให้เบียร์มองว่า หากจะถามว่า สนใจหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองตั้งแต่เมื่อใด ต้องบอกว่าตั้งแต่ที่จำความได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าการเมือง
และที่มาเริ่มสนใจการเมืองแบบจริงจัง ก็ตอนช่วงก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งตอนนั้นเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยช่วงเลือกตั้ง ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่ดูแลแคมเปญการหาเสียงของ”หมอเอ้ก คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์” อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ จากตรงจุดนั้นทำให้เราเริ่มสนใจอย่างจริงจังว่าองค์กรการเมืองต้องมีระบบและมีการจัดวางอย่างไร ซึ่งการเข้าไปอยู่ในคณะทำงานดังกล่าวทำให้ได้เห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้น นอกเหนือจากการที่เราได้ช่วยเหลือคนตามแต่ละช่วงของชีวิต
พอมันชัดขึ้น ต่อมาคุณพ่อก็ให้เลือกว่าต้องการอยู่ในการเมืองต่อหรืออยากจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียนนายตำรวจ ซึ่งพอโอกาสเข้ามา เบียร์ก็ตัดสินใจขอไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือก่อน โดยการอยากไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือของเบียร์เพราะเราเชื่อมาตลอดว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในชีวิต เราจะเกี่ยวข้องกับการศึกษา เพราะเรามองว่า การศึกษาคือการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน อย่างเบียร์มองว่า คนที่รวย คนมีฐานะ ซึ่งคำว่ารวย ไม่ได้หมายถึงแค่สถานะทางการเงิน แต่รวยคอนเน็กชั่น รวยโอกาส
ตรงจุดนี้ แม้ต่อให้ไม่ใช่คนที่เรียนดี เรียนเก่ง แม้จะล้ม แต่ก็มีโอกาสลุกขึ้นมาได้ นั่นหมายถึงว่า ถ้าคุณรวย การศึกษาอาจไม่ได้สำคัญจนเป็นตัวอย่างที่จะตัดสินว่าชีวิตวันนี้และชีวิตในอนาคตจะไปไกลแค่ไหน เพราะมันมีช่องว่างให้คุณผิดพลาดได้ แต่หากว่าคุณยากจน เป็นคนไม่มีฐานะ มีความลำบากค่อนข้างสูง หรือมีความท้าทายในชีวิตมากกว่าคนอื่น มันหมายถึง การศึกษาอาจเป็นคำตอบเดียวที่เป็นใบเบิกทางให้เขาได้เปลี่ยนแปลงอนาคตของเขา
เมื่อเราเชื่อแบบนี้แบบสุดใจ ที่ผ่านมาเลยเคยไปเป็นครูในหลายระบบ ลองไปเป็นครูแบบอาสาสมัคร-ไปเป็นครูพิเศษในโรงเรียนประจำ ไปสอนที่โรงเรียนราชวินิต หรือลองไปเป็นติวเตอร์สอนให้กับบริษัทที่ว่าจ้าง จนมาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายตำรวจ
ทั้งหมดที่เล่ามา เป็นจุดที่ว่าเมื่อเราสนใจการเมือง และนำสิ่งที่เราสะสมมาเพื่อเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา เรามองว่า มันทำให้เรามองอะไรต่างๆชัดมากขึ้น มองสิ่งต่างๆ เป็นระบบมากขึ้นในการทำงานที่ได้ไปทำงานหลายจุด
ไม่ใช่ว่าหนึ่งวันเราสอนแค่ที่เดียว แต่เราสอนทั้งโรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนไทย ทำให้ได้เห็นแล้วว่าความแตกต่างคืออะไร และวันนี้บวกกับประสบการณ์ จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ทำให้เราเห็นแล้วว่าจะทำอย่างไรให้มันชัดขึ้นในโจทย์ที่เราเจอมาเพื่อหาคำตอบให้เราได้แก้ไขปัญหา
จากที่เริ่มเข้าสู่การเมืองครั้งแรกช่วงเลือกตั้งปี 2562 ทำให้เราถามถึงการมองการเมืองไทยในช่วงก่อนหน้าปี 2562 อย่างไรบ้าง “ว่าที่ร.ต.อ.หญิง อัยรดา” บอกเล่าว่า มองว่าบ้านเมืองเราอยู่ในความขัดแย้ง นี้คือภาพจำของเบียร์ตอนที่เรียนปริญญาตรีที่จุฬาฯ ซึ่งพอจบได้ไม่นาน ต่อมาก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เบียร์ไม่ได้เห็นสงครามกลางเมือง แต่ได้เห็นผ่านจากภาพข่าวต่างๆ หลังเราอยู่ที่อังกฤษได้ระยะหนึ่ง ซึ่งช่วงที่อยู่อังกฤษ ก็อยู่ประมาณ 5-6 ปีแบบไป-กลับ ประเทศไทย-อังกฤษ
การเมืองช่วงก่อนปี 2562 เราได้เห็นความขัดแย้งที่นำมาสู่การนองเลือด เราอาจเคยเรียนการเมืองจากหน้าประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับเหตุการณ์ทางการเมือง เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย แต่สำหรับเรา เบียร์ไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในยุคที่เราเติบโตมา เราเคยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นตัวอักษรในหนังสือ
พอเกิดสิ่งนี้ มันไม่ใช่แค่ว่าการเมืองคือข่าวที่เราเห็น แต่มันยังรวมถึงความแตกแยกทางความคิด ระหว่างคนรอบตัวและกับตัวเราเอง กับเพื่อนเราเองที่ต่างขั้วความคิด แม้เราอาจจะเคยมองว่าเขาเรียนมาด้วยกันกับเรา อยู่ในสังคมที่บริบทไม่ได้แตกต่างกัน แต่มันคือความขัดแย้ง นั่นคือภาพจำของเรา
ทำให้เราคิดว่าในวันนี้ ที่เราอายุเท่านี้และเราพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาโดยการสร้างประโยชน์อย่างไร เราไม่ได้มาทำงานการเมืองวันนี้เพื่อจะมาแก้ทุกเรื่อง หรือว่าทำทุกจุด อันนั้นเบียร์ทำไม่ได้ แต่เรามาเพื่อที่ว่าจะทำในส่วนที่เราถนัด ที่เราคิดว่า สมมุติว่ามีหนึ่งร้อยอย่างที่ต้องเปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนได้หนึ่งอย่าง มันจะดีกว่าเมื่อวานหรือไม่ ที่มีปัญหาแบบเดิมร้อยอย่าง จนเมื่อจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทำให้จากที่ก่อนหน้านี้เป็น อาจารย์สอนวิชากฎหมายที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็คิดว่า ตอนนี้พร้อมแล้วที่จะเข้ามาทำงานการเมือง จึงเข้ามาที่พรรครวมไทยสร้างชาติในปัจจุบัน
ว่าที่ร้อยตำรวจเอกหญิงอัยรดา-ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางนา พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อไปว่า ที่ตัดสินใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะศรัทธาในตัวหัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค โดยก่อนหน้านี้ก็เคยได้เจอกันที่พรรคการเมืองเดิม ได้เห็นสไตล์การทำงาน การพูดคุย รู้สึกว่าหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย
เพราะจากที่ก่อนหน้านี้หัวหน้าพรรคเคยเป็นอดีตผู้พิพากษา คนอาจจะมองว่า เป็นคนที่เข้าถึงยากหรือไม่ แต่เรามองว่าด้วยความที่ท่านหัวหน้าพรรคเป็นอดีตผู้พิพากษา เป็นนักกฎหมาย และความที่กฎหมายเกี่ยวข้องกับคน ทำให้จะมีความเข้าใจคนมากกว่าที่คนอื่นทั่วไปคิด การที่เราจะลงเรือหนึ่งลำ เราต้องเห็นว่าคนที่อยู่เป็นหัว เราศรัทธาหรือไม่ ซึ่งการที่เราอยู่ที่ไหนมาก่อนทุกที่เป็นที่ดีสำหรับเราเสมอ แต่ต้องดูว่าจุดที่เราอยู่ตอบโจทย์อะไรในสิ่งที่เราสร้าง ซึ่งเรามองว่าหัวหน้าพรรคจะเข้าใจในสิ่งที่เราอยากผลักดัน ในฐานะคนที่มีแนวคิดทางกฎหมายเหมือนกัน
นอกจากนี้ ที่เราเข้ามายังพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เพราะศรัทธาในตัวคุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะด้วยความที่อายุเราเท่ากัน ทำให้การพูดคุย-การคุยงานกัน เรารู้สึกว่าเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ บริบทนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าที่เราอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เราอยู่แล้วสบายใจ การทำงานเรามีความเป็นกันเองแบบครอบครัว
ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่ามันมีโครงสร้างที่ซับซ้อน เพราะถ้าเราสามารถพูดคุยกับคนที่เป็นเหมือนผู้นำเรือของเรา คุยกันได้ง่ายว่าเรือจะไปทิศทางไหน มันก็อาจส่งผลให้เราสามารถสร้างจุดเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เราทำได้ง่ายขึ้น
จากอาจารย์สอนกฎหมาย ถอดเครื่องแบบตำรวจ เข้าสู่ถนนการเมือง-การเลือกตั้ง
ตัดสินใจนานหรือไม่ ที่ลาออกจากราชการมาลงสมัครรับเลือกตั้ง เข้าสู่ถนนการเมืองครั้งนี้?
ใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจ โดยตอนที่เป็นอาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศ ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทำอยู่ประมาณสามปี การที่ตัดสินใจได้เร็วเพราะเราคิดว่าเราได้เรียนรู้มาระดับหนึ่งแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ในวงกว้าง ซึ่งสมัยยังรับราชการ ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในช่วงปีสุดท้าย ก่อนหน้าจะลาออกมา ก็ได้ไปช่วยงานอยู่หน้าห้องอดีตรองผบ.ตร.คือพล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง
โดยงานที่ได้รับมอบหมายจนเป็นภารกิจหลักของเราคือท่านให้ดูเรื่องยกร่างและเรื่องเกี่ยวกับกฎ -ระเบียบ การใช้กำลังและอาวุธ คือเรื่องที่เป็นอำนาจของตำรวจเกี่ยวกับการค้น-จับ-ควบคุม ไปพิจารณาว่า กฎของตำรวจไทยเราได้มาตรฐานสากลหรือยัง จนผลักดันออกมาเป็นร่างระเบียบ พอทำเสร็จ ก็ทำเป็นหนังสือในเรื่องนี้เพื่อที่ว่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะได้มีตำราของตัวเอง
จากที่ได้ทำงานดังกล่าว เราก็รู้สึกว่ามันสูงในระดับหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ที่จะสร้างผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง แต่เหมือนวันนี้เราต้องส่งไม้ต่อ และเมื่อมาเข้าสู่การเมือง เราก็มาคิดว่าเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวงกว้างขึ้นมาอย่างไร แต่ก่อนเบียร์เคยมองว่าการที่เราเป็นครูตำรวจ เราเป็นครูสอนตำรวจหนึ่งคน ซึ่งลูกศิษย์เรา เราเองก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะเติบโตขึ้นไปอย่างไรในปลายทาง โดยถ้าดีสักหนึ่งคน กว่าเขาจะเกษียณอายุราชการ เขาต้องเจอกับคนอีกเป็นพันคนเป็นหมื่นคน ถ้าเราสอนให้เขาดีได้สักหนึ่งคน เขาก็อาจจะเป็นตำรวจที่ไปแก้ไขปัญหาให้สังคมให้ประชาชนหรือเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้อีกสักจำนวนหนึ่ง
แต่เรามองวันนี้ว่าพอเป็นเขตพื้นที่บางนา-พระโขนง ซึ่งเราเห็นปัญหาในพื้นที่มาตั้งแต่ยุคคุณพ่อ แล้วส่งไม้ต่อมายังเรา ในโอกาสการเลือกตั้ง ไม้ต่อของเบียร์ครั้งนี้ จะไม่ใช่แค่เฉพาะจำกัดอยู่ในวงการตำรวจ หรือนักเรียน แต่เป็นไม้ต่อที่มาได้หลากหลายภาคส่วน ทั้งเอกชน-ธุรกิจ-การเมือง-ครู-พยาบาล-หมอ-คนกวาดถนน นี้คือไม้ต่อที่เรารู้สึกว่า มันมีแรงกระเพื่อมเพิ่มขึ้น ทำให้สำหรับเบียร์เลยไม่ยากในการที่จะตัดสินใจเข้ามาตรงจุดนี้
แสดงว่าตัดสินใจเลือกแล้วที่จะเลือกเดินบนเส้นทางการเมือง?
ถูกต้อง แต่จุดหนึ่งอยากให้มองว่า เบียร์ยังเป็นครูนักพัฒนา นั้นคือจุดที่เบียร์ยังอยากเป็นอยู่แม้ว่าจะมี label นักการเมือง เพราะถ้าเขามองเราวันนี้ว่าเราเป็นนักพัฒนา เป็นครูที่เห็นปัญหาจริง เป็นครูที่่่ค่อนข้างactive ที่ออกไปเจอปัญหา เพื่อว่าจะได้กลับไปสอนใครก็ตามแต่ เบียร์เชื่ออย่างหนึ่งว่าครูที่ดี ต้องเป็นเยี่ยงอย่างให้คนอื่นได้ โดยหากเราเป็น inspiration เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ นั่นคือเบียร์อยากเป็นนักพัฒนาในมุมนั้น ถึงแม้อาจจะเรียกว่านักการเมือง
ขณะที่เรื่องการให้พื้นที่-ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่ของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เรื่องของการเมือง ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่ เรามองว่าในพรรครวมไทยสร้างชาติ คนรุ่นใหญ่ในพรรคต่างเปิดกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค หรืออย่างนายกฯลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ ท่านเปิดกว้างมากพอ และหัวก้าวหน้ามากพอที่จะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ที่บางคนอาจเคยมีประสบการณ์ทางการเมือง ส่วนบางคนอาจยังไม่มี แต่ได้เข้ามาลองสนาม แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหญ่เขาเปิดกว้าง เพราะเขาสามารถไม่รับเข้ามาเป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคก็ได้ แต่เขาเปิดกว้าง นี้คือภาพการเมืองที่เรามองเห็นว่าเขาพร้อมจะรับคนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีเวทีของตัวเอง
การให้คนรุ่นใหม่ในพรรคได้มีเวทีของตัวเอง เบียร์ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเวทีตรงนี้เป็นเวทีที่ทำให้เราได้ก้าวเข้าไปเจอผู้คน ไปรับรู้ปัญหา แล้วนำสิ่งที่รับรู้มาพูดคุยให้คนในพรรครับฟัง โดยทางพรรคมีการเช็คตลอด มีการประชุมกันทุกสัปดาห์ของว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ของประชาธิปัตย์ โดยให้ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.แต่ละเขต ได้บอกเล่าว่าที่ลงพื้นที่ ไปรับฟังปัญหาประชาชนมาแต่ละวัน ได้พบเจออะไรบ้าง แล้วก็มีการซาวด์เสียงกัน
อย่างบางคนอาจมองว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่ประกาศนโยบายพรรคในการหาเสียง แต่เป็นเพราะพรรคเราทำการบ้าน ไม่ใช่ว่าอยากจะออกไปสัญญาอะไรก็ได้ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านอกจากเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแล้ว ยังให้คนรุ่นใหม่ในพรรคได้ทำงาน
สิ่งเหล่านี้คือภาพรวมของพรรคที่คนภายนอก อาจยังไม่ค่อยรู้ และนโยบายพรรค คนรุ่นใหม่ในพรรคก็ได้มีส่วนในการคิดและเสนอแนะ
ภาพรวมของพรรครวมไทยสร้างชาติกับคนรุ่นใหม่ ถือว่ามีการเปิดกว้างมาก และตรงนี้จะเป็นประตูที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อย่างเรื่องของว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานครของพรรค เบียร์ค่อนข้างมั่นใจว่าคนรุ่นใหม่ ที่จะได้ลงสมัครับเลือกตั้งในครั้งนี้ สัดส่วนค่อนข้างสูง ถือได้ว่า พรรควางนักรบแบบค่อนข้างเปิดใจกว้าง เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งที่นำคนรุ่นใหม่ๆมาลงสมัครรับเลือกตั้งในสัดส่วนที่เยอะ หากไม่เยอะที่สุด ก็ต้องอยู่ในอันดับtop3
นอกจากนี้พรรคยังมีจุดเด่นที่มีคนที่เข้ามาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มาจากหลากหลายพรรคการเมือง ทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในปริมาณที่มากกว่าที่เห็นจากปรากฏในภาพสื่อ นั่นหมายถึงมันสะท้อนกับชื่อที่สร้างขึ้นมา “รวมใจ รวมไทย สร้างชาติ คำว่ารวมไทยสร้างชาติ ก็คือรวมใจกันอยู่หลังบ้านในแง่หนึ่งทำให้เราได้เรียนรู้นโยบายที่จะหล่อหลอม รวมกันเพื่อสร้างสิ่งใหม่ ที่จะเป็นโอกาสให้เราได้เติบโตไปได้ไกลไม่น้อยกว่าพรรคการเมืองอื่น”
“ว่าที่ร.ต.อ.หญิงอัยรดา” แสดงความมั่นใจว่า จนถึงขณะนี้กระแสตอบรับของพรรครวมไทยสร้างชาติในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ออกมาดี โดยเฉพาะกับตัวนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ อย่างเราพอไปเจอกับประชาชน เมื่อเขารู้ว่ามาจากรวมไทยสร้างชาติ ประชาชนเขารู้สึกแฮปปี้ อย่างตอนนี้ ชื่อพรรคการเมืองที่มีจำนวนมาก อาจทำให้คนงงว่า ใครมาจากพรรคการเมืองไหน แต่พอเราบอกว่า พรรคลุงตู่ ประชาชน ก็บอกโอเค เข้ามากอด ทั้งที่เขายังอาจไม่รู้จักเรา ทำให้เราเห็นและสัมผัส ได้เลยว่าประชาชนยังรักและสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อยู่มาก ขณะเดียวกัน มั่นใจมากว่านโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติในส่วนพื้นที่กทม. จะเป็นชุดนโยบายที่สู้กับพรรคการเมืองอื่นได้เพราะว่าพรรคมีการทำการบ้านอย่างจริงจัง
รวมไทยสร้างชาติ ทำไม ต้องชูธงนโยบายแก้ไขกฎหมาย?
ในฐานะมาจากสายกฎหมายด้วย การที่รวมไทยสร้างชาติ ชูเรื่องการปฏิรูปกฎหมาย การแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อกเรื่องต่างๆ จะถูกมองหรือไม่ว่าเป็นเรื่องเชิงนามธรรมหรือไม่ เพราะหลายพรรคการเมืองมีนโยบายในเชิงเศรษฐกิจ สังคมที่จะมีการให้เงินสนับสนุนด้านต่างๆ ที่เป็นเงินรายเดือน คนเลยอาจไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ อย่างที่รวมไทยสร้างชาติเน้นมาตลอด?
มองว่าหากเขาตั้งคำถามแบบที่ถามมา ถือเป็นเรื่องดี แสดงว่าเขาสนใจการเมืองและพร้อมจะพูดคุยกับเรา
ที่ถามว่าทำไมพรรคพูดเรื่องการต้องแก้ไขกฎหมาย มันดูไกลตัว เป็นนามธรรมหรือไม่นั้น ตรงนี้ก็ต้องพูดถึงเรื่องความขัดแย้ง เพราะกฎ กติกาบ้านเมืองมันล้ม พอล้ม ก็เกิดความโกรธ ความเกลียด ความชัง บ้านเมืองถึงไปต่อไม่ได้ ถึงได้มีแคมเปญว่า ลุงตู่อยู่ต่อ หรือประเทศไทยไปต่อ
ด้วยเหตุนี้ถึงบอกว่า ทำไมพรรคถึงชูเรื่องกฎหมาย ก็เพราะเราต้องการมาสร้างกติกากันอีกรอบ โดยไม่ใช่หมายถึงจะมาเขียนใหม่หมด แต่มาดูว่าอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้ว เช่นกรณีการทำธุรกิจ ทำไมถึงมีขั้นตอนเยอะ จะสามารถมาเปลี่ยน dynamic ให้เป็นพลวัตรได้หรือไม่ จะสามารถแก้ไขกฎหมายอะไรได้บ้าง หรือว่าบางกติกาที่มีอยู่ แต่ไม่ได้รับความเคารพ นำมาปรับใช้ เราต้อง enforce อย่างไรได้บ้าง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องชูเรื่องนี้เพราะปากท้อง จะดีไม่ได้ ถ้ากฎเกณฑ์ไม่ดีพอ
วันนี้คำว่า ความยุติธรรม เบียร์มองว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเห็นเหมือนกันหมดตลอดเวลา ยุติธรรม ของคนหนึ่ง อาจจะแตกต่างจากความเห็นของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องหากฎ ที่อยู่ตรงกลางว่า การเจอกันคนละครึ่งแล้วต่างฝ่ายต่างโอเค เช่น หากเราจะเปิดร้านขายของแล้วต้องให้ค่าตอบแทนกับพนักงาน คนหนึ่งอาจมองว่า พนักงานควรได้ 100 บาท แต่อีกคนอาจมองว่า ดูจากองค์ความรู้ ประสบการณ์ ควรให้แค่ 80 บาท รราต้องมาตกลงกันก่อน เพราะกฎ กติกาในสังคมมันล้ม เราถึงต้องแก้กฎหมาย พอเราได้ตรงจุดนี้ เราได้กฎหมายที่ชัดเจน ระเบียบที่ชัด ก็ทำให้ในเรื่องของเศรษฐกิจ หรือการทำนโยบายด้านสวัสดิการ มันจะส่งผลเป็นโดมิโนต่อเนื่อง
หากเราไม่สามารถแก้กฎหมายได้ อย่าลืมว่าวันนี้เราเลือกตั้งส.ส. เพื่อไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ คือผู้ออกกฎหมาย จุดนี้หมายถึงว่า คุณต้องอ่านกฎหมายเป็น ต้องเข้าใจว่ากฎ กติกาต่างๆ มันดีต่อสังคมโดยรวมหรือไม่ แต่หลายครั้งที่ผ่านมาเราเติบโตมากับการที่ว่ากฎหมายเอื้อเฉพาะกับกฎหมู่ พอเอื้อหมู่ ก็ทำให้สังคมล้ม เกิดความขัดแย้งอยู่ไม่ได้
เบียร์เข้าใจและขอตีความว่าตรงจุดนี้อาจเป็นหนึ่งในทางที่หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติถึงมองว่า กฎหมาย เป็นเรื่องสำคัญ
การที่เรียนด้านกฎหมายมาตลอด เคยทำงานด้านกฎหมายมาก่อน ความรู้ด้านกฎหมายดังกล่าวจะมีประโยชน์อย่างไรในการเข้าไปทำงานทางการเมือง?
เป็นประโยชน์มาก เพราะคนที่เรียนกฎหมายย่อมอ่านภาษากฎหมายเป็น จึงทำให้ย่อมเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้ยกร่างกฎหมายแต่ละฉบับ นี้อาจจะเป็นจุดได้เปรียบของเราเมื่อเทียบกับผู้ที่อาจจะยังไม่ได้มีแบ็คกราวด์ทางกฎหมาย
แต่ตรงนี้ไม่ได้บอกว่าท่านอื่นไม่เหมาะสม เบียร์คิดว่าคนที่จะสร้างกฎเกณฑ์ของสังคมหรือเป็นตัวแทนของประชาชนได้ดี ควรจะมาจากหลากหลายแบ็คกราวด์ เป็นนักกฎหมายอย่างเดียว เราอาจมองแค่มุมเดียว
อย่างเช่นคำว่า “หมายความว่า” กับ “หมายความรวมถึง” แค่สองคำนี้ แต่เวลาเราเรียนหนังสือ เราเรียนกฎหมาย คนมักจะคิดว่าท่องจำ แต่ไม่ใช่เลย อย่างที่เรียนนิติศาสตร์ที่จุฬาฯ เขาจะสอนให้เรามองที่ “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้พิจารณาว่าเมื่อร่างกฎหมายแล้ว จะกว้างเกินไปหรือไม่ จะมีประโยชน์หรือไม่ หรือเป็นโทษมากกว่า หรือร่างมาแคบไป ต้องมานั่งแก้ไขกฎหมายตลอดเวลาหรือไม่ ตรงจุดนี้ หากเราอ่านกฎหมายเป็น เราเรียนรู้และเราได้ฝึกทักษะเกี่ยวกับการคิดเชิงวิเคราะห์ ว่าสิ่งที่ร่างออกมาเป็น กฎหมาย เมื่อออกไปบังคับใช้แล้วจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษมากกว่า เรามองว่าตรงนี้ทำให้เหมือนกับเรามี อุปกรณ์พร้อมรบมากกว่าคนอื่น
“ว่าที่ร.ต.อ.หญิงอัยรดา” ย้ำว่า หากประชาชนสนับสนุนและเลือกผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานคร ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะได้คนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานการเมือง เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายแบ็คกราวด์ และแต่ละคนทำงานจริง ส่วนว่าหากเลือกคนของพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วจะเป็นประโยชน์อย่างไรในภาพรวมก็ต้องขอเก็บไว้ เพื่อให้รอติดตาม วันที่พรรคจะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานครของพรรค ที่จะได้ทราบว่าหากเลือกผู้สมัครของพรรคแล้วจะดีอย่างไร
โดยนโยบายที่พรรคจะนำเสนอออกมาจะไม่ใช่แค่นโยบายที่แค่บอกว่าวันนี้คุณได้อะไร แต่จะเป็นนโยบายที่จะบอกว่า แล้วเราจะหาเงินเข้าประเทศได้อย่างไรด้วย อันนี้จะเป็นจุดที่แตกต่าง เพราะหากจะบอกว่าจะมีนโยบายเช่น ให้เงินคุณหนึ่งร้อยบาท ส่วนอีกคนให้สองร้อยบาท ก็มีคำถามว่าแล้วจะนำเงินจากไหนมาให้ประชาชน หรือจะไปสร้างนโยบายแบบไหนที่จะมีสวัสดิการแบบนี้ให้ประชาชน จะหาเงินเข้าประเทศอย่างไร
“อยากขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพวกเรามีไฟในการทำงาน โดยเรื่องที่เบียร์ อยากผลักดันนอกจากเรื่องของกฎหมายแล้ว ก็คือเรื่องของการศึกษา เพราะเราเห็นมาทุกรูปแบบ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง”