เปลว สีเงิน
“ประเทศไทย” ยุค “๘ ปี นายกฯประยุทธ์” นี่
หลายๆ ด้าน ….
มันพัฒนา “เกินหน้า-เกินตา” ประเทศเพื่อนบ้านเขาเร็วมากไป
จึงค่อนข้าง “วางตัวยาก” ในหมู่พื่อนบ้าน อย่าง เช่น เขมร เวียดนาม แม้กระทั่งกับสิงคโปร์ก็เถอะ!
เพราะไทยเรา เดี๋ยวติดอันประเทศคนมาท่องเที่ยวมากที่สุุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศน่าอยู่-น่าลงทุนที่สุดบ้าง
เดี๋ยวเป็นประเทศที่ค่าเงินเสถียรที่สุดบ้าง
เดี๋ยวเป็นประเทศที่คนใจดี-น่ารักที่สุดบ้าง เป็นประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม สะดวก-เร็ว ที่สุดบ้าง
เพื่อนบ้านเขาจึง “มองค้อน”!
ยิ่งตอนนี้ “การรถไฟ” ร่วมมือกับ “สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง”
ผลิตหัวรถไฟพลังงานแบตเตอรี่ออกทดลองวิ่งที่ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” นำหน้าในอาเซียน
ภาพการทดลองวิ่งปรากฏออกไปเท่านั้นแหละ
เวียดนาม “กินไม่ได้-นอนไม่หลับ”!
นักรบคีย์บอร์ดออกมากระแนะ-กระแหนด้วยฤทธิ์แรงริษยา ประเทศเขาตะหาก ที่จะเป็นเจ้า EV ในอนาคต
ส่วนเพื่อนเขมร กางแผ่นหินนครวัด “เคลมทุกอย่าง” ในโลก ว่าลอกเลียนไปจากเขมรทั้งนั้น
ตอนนี้ชักจะล้ำเส้นเกินไปซักหน่อย
เคลมมวยไทยเป็น “กุน ขแมร์” ก็พอจะทำให้คลายเครียด แต่การนำ “ครุฑ” ตราแผ่นดินของไทย ไปปักกางเกงนักมวยเขานี่ซี
“ผู้หลัก-ผู้ใหญ่” ฝ่ายไทย-ฝ่ายเขมร น่าจะคุยกัน ไปเตือนทั้งสองฝ่าย ว่าเอาพอหอมปาก-หอมคอ “อยู่ในกรอบ” พอรับกันได้เถอะ
แต่ถ้า “ล้นกรอบ” มากไป
อย่างเอา “ตราแผ่นดิน” ของไทยไปใช้ไม่เหมาะสมอย่างนั้น นะ…มันเกินไป
ฝรั่งว่า เรื่องอย่างนี้ Sensitive เรื่องเล็กมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
ควรห้ามปราม อย่าปล่อยให้ไฟในเตา กระเด็นออกมาเป็นไฟลามบ้าน-ลามเมืองเลย
ก็พอรู้แหละ….
ว่ามีคนปั่นจิ้งหรีด หวังให้ “ไทย-เขมร” กินใจ ต้องการให้ไปถึงขั้นบาดหมาง “ระดับประเทศ”
เมื่อรู้ ก็ควรรีบคุยกันแต่เนิ่นๆ ให้มันอยู่แค่ “มวย” พอแล้ว
ขืนปล่อยให้ลามปามไปถึงขั้น “ตราแผ่นดิน” ไม่มีคนไทยคนไหนจะวางเฉยได้หรอก
ก็เตือนสติกันไว้ กับเรื่องที่ “ไวต่อความรู้สึก”
“มวยไทย” น่ะ คือศาสตร์ที่ดึงเอาส่วนกายกับส่วนจิตในความเป็นสัญชาตญาน พัฒนาให้ความคิดและความรู้สึกผนึกรวมเป็นศิลป์ ผ่านความเป็นแม่ไม้มวยไทยเปี่ยมปัญญา-เปี่ยมสปิริต
มวยไทย ใครๆ ก็ “ครูพักลักจำ” ได้
แต่จะให้เข้าถึงศาสตร์และศิลป์ด้วยจิตวิญญาน ถ้าไม่เรียนด้วยตัวเอง ไม่มีทางเข้าถึงได้
เพราะอย่างนั้น “มวยไทย” จึงต้อง “ไหว้ครู”
เพราะ “มวยไทย” มีครู
นักมวยไทยทุกคน จึงได้รับการขนานนามว่า “ศิษย์มีครู”
“มวยไทย” จึงไม่ใช่สัตว์ ที่เขา “จับใส่กรงให้กัดกัน”
เพราะมวยไทย ครูสอนให้ลูกศิษย์ รู้จักคำว่า “สุภาพบุรุษ”
คำว่า “สุภาพบุรุษสังเวียน” จึงคู่กับ “มวยไทย” มาแต่อ้อน-แต่ออก!
ด้วยความลึกซึ้งของมวยไทยที่ “หลายชาติ” เข้าไม่ถึง
จึงใช้ความหยาบฉกฉวยรูปแบบมวยไทยไปทางธุรกิจการค้า โดยตั้งชื่อเลี่ยงไปต่างๆ นานา
อย่างสิงคโปร์ ก็จากมวยไทย ด้วยหัวการค้า พลิกแพลงเอามวยไทยผสมมวยมนุษย์ยุคหิน
ให้ค่าตัวแพงๆ มวยไทยก็แห่ไปฟัดกับมวยต่างชาติเป็นการล่ารางวัล
สำหรับผม ดูแล้วไม่เห็นมีตรงไหน ที่เรียกว่า “ศาสตร์และศิลป์” เลย
ไม่ต่าง “จับสัตว์ขังกรง” ให้กัดกัน
มันจึงมีแค่คำว่า “สัตว์ป่า” เข้ามาแทนคำว่า “สปิริต”!
นี่ “มวยสิงคโปร์”
แต่เขาเก่ง เขาไม่ได้เคลมมวยไทยด้วยอิจจฉา แต่เข้าใช้หัวการค้าประยุกต์ “ทำการตลาด” จึงเกิดเป็น “ธุรกิจคนกัดกัน”
ส่วน “มวยเขมร” อะไรนั่น จะกุน ขแมร์ ก็กุนไป ไม่มีใครว่า แต่การเคลมว่ามวยไทยว่าก็อปไปจากมวยเขมร
ก็ไม่รู้จะไปหาเหตุผลจากคนตะแบงไปเพื่ออะไร สู้มองไปในทาง “ตลกคลายเครียด” จะสบายใจกว่า
“มวยไทย” เป็นที่รู้จักและยอมรับเป็น “สากลโลก” ไปแล้ว
มันเลยจุดต้องมานั่งเล่นจ้ำจี้กับเพื่อนเขมรแล้ว!
เมื่อวาน อ่าน “การพยากรณ์เรื่องที่จะเกิดในโลกอนาคต” ที่ “ดร.วรศักดิ์ กนกนุกูลชัย” โพสต์เฟซ และอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา นำมาแชร์
ดร.วรศักดิ์สรุปจากที่ศาสตราจารย์ “Yuval Noah Harari” เขียนเป็น ๑๓ หัวข้อ ในหัวข้อที่ ๘ มีว่า
………………..
8.ในที่สุด มนุษย์ชาติ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้น ได้แก่
-กลุ่มชนชั้นสูง(Super Elite Class)ที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุม AI
และการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษย์ชาติ (เพื่อให้ฉลาดขึ้น หรือ อายุยาวขึ้น)
-กลุ่มชนที่ไร้ประโยชน์(Useless Class)
ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงกำลังพลทางทหาร(กำลังพลจะไร้ความหมาย เพราะกองทัพในอนาคต จะใช้เทคโนโลยี AI แทน)
…………………………
ถามว่า”โลกอนาคต “ที่ว่านี่ หมายถึงเมื่อไหร่?
ก็ราวๆ ๒๐-๓๐ ปี ต่อจากนี้ พูดชัดๆ คือศตวรรษที่ ๒๑ ใครมีลูกตอนนี้ ก็รุ่นลูกโตเป็นหนุ่ม-เป็นสาว นั่นแหละ
ผมอ่าน แล้วประเมินจากสังคมปัจจุบัน ประเด็นที่ท่านศาสตราจารณ์ Yuval Noah Harari เขียนไว้
มีความน่าจะเป็น ระดับ ๙๙.๙๙%
-กลุ่มชนชั้นสูง(Super Elite Class)ที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุม AI ก็เห็น และเป็นอยู่ขณะนี้
-การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษย์ชาติ (เพื่อให้ฉลาดขึ้น หรือ อายุยาวขึ้น)
ข้อนี้ ไม่ต้องมองหาที่ไหน …
ณ วันนี้ ขณะนี้ คนไทย ด้วย “วิจัย-พัฒนา” วิทยาการไทยไปถึงระดับเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษยชาติสำเร็จแล้ว!
ไม่ใช่สำเร็จอยู่ใน “ห้องทดลอง” นะครับ
เป็นผลิตภัณฑ์ Life Science วางขายตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ยา แต่เป็นอาหารเสริม
เป็นคนละเรื่อง-คนละอย่างกับ “อาหารเสริม” ที่เราเรียกกันเปรอะทั่วไป
แต่นี่เป็นผลิตภัณฑ์ Life Science “วิจัย-พัฒนา” ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง สู่ความยั่งยืนของมนุษย์
หลักๆ คือ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพนี่แหละ จะทำให้ยุคต่อไปนี้ มนุษย์ตายช้า คืออายุยืนขึ้น ไม่เจ็บ-ไม่ป่วย แถมฉลาดยิ่งขึ้น
คงจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยนำมาเล่าว่า ปตท.เขาดิสรัปท์ “ข้ามสายพันธุ์” จากประเทศมั่นคงทางพลังงาน ไปสู่สายพันธุ์ “มั่นคงทางยา”
โดยเฉพาะด้าน “ชีววิทยาศาสตร์” หรือ Life Science ตั้งบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด “ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ” เป็นประธาน
แป๊บเดียวร่วม ๒ ปี
วานซืน ผมอ่านข่าว “อินโนบิก” เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวใหม่ ๒ ผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์แรก ร่วมกับ “คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ออกมาในชื่อ
“อินโนบิก โปรเบต้า-กลูแคน พลัส” (Innobic Pro Beta-Glucan+)
“เบต้ากลูแคน” นี่เป็นสารอาหารช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ต้านทานโรค ชะลอความเสื่อม
ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุหรือกลุ่มคนทำงานประเภทชอบ “สะสมความเครียด” ดีนักแล
ผลิตภัณฑ์ตัวที่ ๒ ร่วมกับ “สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย” (วว.) ออกมาในชื่อ
“อินโนบิก โพรไบโอติกส์ จีดี” (Innobic Probiotics GD) เป็นการคัดเลือกเชื้อ “โพรไบโอติกส์” สายพันธุ์ไทย ที่พัฒนาโดย “นักวิจัยไทย” ครั้งแรก เพื่อให้เหมาะกับคนไทย
คนไทยนี่ ยิ่งกับผมด้วยแล้ว….
จุลินทรีย์ในร่างกายแทบไม่เหลือ เพราะกินยาปฎิชีวนะบ่อยมาก โรคกระเพาะ-สำไส้ รักษายังไงจึงไม่หาย มีแต่ใกล้จะตายแล
“โพรไบโอติกส์” พูดง่ายๆ ก็คือ “จุลินทรีย์มีชีวิต” นี่แหละ เมื่อกินเข้าไปแล้ว….
เจ้าจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทนต่อ “กรดและด่าง” มันจะไปจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้
แล้วผลิตสารต่อต้านหรือสารกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆได้
อาหารไทย กับ กระเพาะ-ลำไส้ คนไทย มันก็อย่างหนึ่ง ทีนี้ โพรไบโอติกส์ทั่วไป มันไม่ค่อยถูกโรคกับกระเพาะ-สำไส้คนไทยนัก
แต่ “อินโนบิก โพรไบโอติกส์ จีดี” ที่ไทยวิจัยและผลิตออกมานี้ เป็นการวิจัยโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ไทยให้เหมาะกับลำไส้คนไทยโดยเฉพาะ
เรียกว่า “ตอบโจทย์” คนไทย คนอาเซียนโดยตรง วว.วิจัยถึง ๒ ปี กว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตออกมาได้
เรื่อง “โพรไบโอติกส์” เป็นเรื่องใหญ่ ต้องคุยกัน “เพื่อชีวิตไร้โรค” ซักวัน วันนี้ พอแล้ว กินยาคูลท์หรือโยเกิรต์ ไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน
ที่นำมาเล่าให้ฟัง ก็พออุ่นใจ ไทยไม่ตกโลกอนาคตแน่
เพราะ ปตท.โดย “อินโนบิก”
“วิจัย-พัฒนา” นำไทยสู่ระดับ “มั่นคงทางชีววิทยาศาสตร์” ไปถึงระดับ
เปลี่ยน “แปลงทางชีวภาพมนุษยชาติ” ให้ฉลาด-ไม่แก่ และ “ตายยาก” แล้ว!
เปลว สีเงิน
๓๑ มกราคม ๒๕๖๖
ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ)