เปลว สีเงิน
ไหน….ใครว่าคนไทย “ชังชาติ” ยกมือขึ้น?
ไม่จริงหรอก
ผมเอาคอเป็นประกัน!
เพราะแอบสังเกตมานาน ไม่ว่า “รุ่นใหม่-รุ่นเก่า” ที่ว่าชังชาติ-ชังสถาบันนั่นน่ะ ก็แค่ “เห่อ” แลกค่านมชงไปอย่างนั้นเอง
มีคนบ้านอื่น-เมืองอื่นมาตอแยไทยวันไหนละก็
ผมเห็นคนไทย เหมือน “ผึ้ง” หวงรัง
จาก “ชังชาติ-แยกสี” กรูเกรียวรวมฝูงเป็นคนไทยไตรรงค์เข้าต่อยตีไอ้คนที่มาขี้ตู่เอาวัฒนธรรมไทย กระเจิงไปทุกราย! สรุปว่า บ้านกู-เมืองกู…กูด่า-กูว่า-กูชัง “แก้เซ็ง” ของกูได้
แต่มึงมาด่า..มาว่า..มาเคลม ประเทศไทยกูเมื่อไหร่ มึงต้องเจอ “สามัคคีรวมตีน” เมื่อนั้น!
นี่ “เอกลักษณ์สังคมไทย” จะเป็นแบบนี้
ถ้าอยากรู้ว่า จริงตามที่ผมบอกหรือไม่ ก็ลองพิสูจน์
ไม่ต้องดูอื่นไกล ลิ้นกับฟัน คือ “เขมรกับไทย” เรื่องใกล้ตัวนี่แหละ
ตอนนี้ ยกทัพทำศึกคลุกวงในกันนัวเนีย เรื่อง “มวย”
เขมร เคลมคนไทยขโมย “กุนขแมร์” ของเขาไป แล้วเรียกว่า “มวยไทย”
โถ…เขมรก็…ช่างทำไปได้!
ไม่แค่นี้ จะเห็นว่า ศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงไหนโด่งดัง เป็นที่ยอมรับ เป็นที่นิยชมชื่นชาวโลก
เขมรเป็นต้องออกมาเคลมว่า “ไทยลอกเขาไป” แทบทุกครั้ง
“โขน” เขมรก็เคลมว่า “ของเขา”
“รำไทย” อ่อนช้อยเหมือนลอยจากฟ้า ราชสำนักไทยคิดค้นต่อยอดพัฒนาเป็นอัตลักษณ์ไทย
เขมรก็ว่า ของข้า ไทย…เอ็งก๊อปไป!
ขนาด “ลิซ่า-บัวขาว” ยังเคลมเอา ถึงขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะว่าไงกะพี่เขาแล้ว ก็ต้องบอกว่า
อยากจะเคลมอะไร ก็เลือกเอาตามที่พี่สบายใจเห้อะ!
ทุกเรื่องที่ผมยกมา จะเห็นทันทีเลย ว่า….
เขมรเคลมเรื่องไหนปุ๊บ ไทยเลือดรักศิลปวัฒนธรรมชาติพล่านปั๊บ
เป็นต้องยกทัพ “สามัคคีออนไลน์” เข้าทำ “สงครามเขมรเคลม” ด้วยหวงแหนมรดกวัฒนธรรมชาติ ชนิดสุดใจขาดดิ้น!
เพราะอย่างนี้ ผมจึงบอก….
ขอเอาคอเป็นประกัน ไม่ต้องกลัวคนไทย ไม่ว่ารุ่นนี้หรือรุ่นไหน จะมากลืนไทย ด้วยการ “ขายชาติ-ล่มสถาบัน” หรอก
เห่อ-แห่ สนุกสนาน ตามกันไปเป็นยุคๆ เท่านั้น สุดท้าย ด้วยสายเลือดไทยในตัว
ไม่มีลูกหลานไทยคนไหน เนรคุณแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็น “หลักชาติ” ได้หรอก
ที่เป็นไป ก็ชั่วครั้ง-ชั่วครู่ …..
เพราะ “ปัจจัยแวดล้อม” คือ เพื่อน-พี่-อาจารย์-ครู และไอที มือถือ หว่านล้อม หล่อหลอม มอมเมา ชักจูง
ก็เคลิ้มกันไปในสังคม “ชีวิตหลอน” มีคำว่า “เยาวชน” รองรับการกระทำแทน “ความรับผิดชอบ” ของแต่ละคน
ต่อเมื่อพ้นรั้ว “โรงเรียน-มหา’ลัย” สู่โลกชีวิตจริง ที่ต้องดิ้นรนและรับผิดชอบชีวิตด้วยตัวเอง
“อดีตและปัจจุบัน” ของแต่ละคน
สำหรับ “คนมีความคิด”
“จิตทวนทบ” จะเป็นตัวกลั่นและกรองให้ตกเป็นผลึก “ประสบการณ์” ดำรงชีวิตในโลกและสังคมจริง
ประสบการณ์นั้นแหละ จะบอกเขาเอง
ว่าความเป็นชาติที่ต้องเทิดทูนนั้น มันคู่กับเกียรติและศักดิ์ศรีในความเป็นคนของเขา
ถ้าไม่มีชาติหรือคิดขายชาติ
มันผู้นั้นไม่นับเป็นคน เพราะเกิด ก็ “เสียชาติเกิด” แล้ว!
เมื่อมองเขา-มองเรา ก็เข้าใจหัวอกคนเขมร
บ้านเมืองเขานอกจากตกเป็นเมืองขึ้นชาติอื่นนานนับแล้ว คนชาติเดียวกัน ยังต้องทำสงครามแย่งชิง เข่นฆ่ากันเองอีก จนแทบสิ้นชาติ
เขมรแทบไม่มีอะไรเป็นอัตลักษณ์ตัวเองเลย แม้ “นครวัด-นครธม” นั่นก็อย่าเข้าใจว่าของเขมรนะ
“พระเจ้าชัยวรมัน” ที่สร้างนครวัด ไม่ใช่คนเขมร
ยุคนั้น ยังไม่มีเขมร …….
ยังเป็นอาณาจักรขอม ศิลปอารยวัฒนธรรมเหล่านั้น เป็นอารยวัฒนธรรมขอม
เมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมสลาย “เขมร” ที่ยังเป็นกลุ่มชนแรงงานของขอมก็เข้าครองแทน
แล้วเขมรก็เคลม “ขอม” เป็น “เขมร” ถึงทุกวันนี้!
จะว่าไป บ่อกำเนิดชนชาติในย่านนี้ ทั้งจีน เวียดนาม ลาว ไทย เขมร ว่ากันจริงๆ ยากสรุป
เพราะเท่าดู-ที่ฟัง มันร้อยทฤษฎี ร้อยตำรา ถึงที่มาของแต่ละชนชาติ
เอาง่ายๆ “คนไทย” เรานี่แหละ…
จนป่านนี้ ก็ไม่มีนักประวัติศาสตร์ โบราณคดี คนไหน ฟันธงได้ว่า “คนไทยมาจากไหน?”
ตอนเรียน ก็ว่ามาจากเทือกเขาอัลไต สืบเชื้อสายจากมองโกล ต่อมาก็มีผู้เชียวชาญทางอินโดจีนบอกว่า…ไม่ใช่
ถิ่นกำเนิดไทยอยู่แถวๆ มณฑลเสฉวน ของจีน
ต่อมามีฝรั่งนักสำรวจแย้งอีกว่า ก็ไม่ใช่…
เชื้อสายไทยอยู่กระจายไปทั่วบริเวณตอนใต้ของจีนและทางเหนือของภาคพื้นอุษาคเนย์ไปจนถึงแคว้นอัสสัม อินเดีย
ก็มีมาอีก ถิ่นเดิมของไทย อาจอยู่ทางบริเวณภาคอีสาน หรืออินโดจีน หรือบริเวณคาบสมุทรมลายู
จากนั้น กระจายไปทางตะวันตก ทางใต้ของอินโดจีนและทางตอนใต้ของจีน
นักค้นคว้าชาวเมริกันบอกอีกสูตรว่า ชนชาติไทยไม่ได้มาจากไหนหรอก ก็อยู่บริเวณพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันนี่แหละ ตั้ง ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว
สรุป.. “มึนตึ๊บ”!
จนป่านนี้ ยังหาความลงตัวไม่ได้ว่า “คนไทยมาจากไหน?” กันแน่ แต่เกือบทุกสูตร กระเดียดเฉียดไปทางจีน
ถึงขั้น คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในจีน ก่อนจีนด้วยซ้ำ!
ที่ผมอยากบอก คือ…
วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งศิลปกรรมต่างๆ ของชนชาติในย่านนี้ ไม่ว่าไทย ลาว จีน เวียดนาม เขมร และอินเดีย
รากฐาน มันเป็น “ศิลปวัฒนธรรมร่วม”!
ไม่มีใครกอปปี้ ลอกเลียนแบบใครไปโดยตรงหรอก หากแต่ว่า ในความเป็น “รูปแบบร่วม” แต่ละชนชาติ เมื่อนำไป ต่างก็ ประดิษฐ์-คิดค้น-พัฒนา-พลิกแพลง-ต่อยอด ไปเรื่อยๆ
จนเป็นรูปแบบ “เอกลักษณ์ชาติ” ตัวเอง!
ยกตัวอย่างมวย การเตะ ต่อย ศอก เข่า โดยพื้นฐาน มนุษย์ทุกชาติ เคลื่อนไหวได้เหมือนๆ กัน
แต่ใคร-ชาติไหน จะสามารถคิดค้น พัฒนา พลิกแพลง บัญญัติเป็นศิลปการต่อสู้ ด้วยท่วงท่า ลีลา เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ จนเป็นที่ยอมรับชาวโลกได้ขนาดไหนนั้น
ต้องบอกว่า มันเป็น “อัจฉริยะ” ของแต่ละชาติ ที่ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ขึ้นชื่อว่า “ศิลปการต่อสู้” มีด้วยกันทุกชาติ ฝรั่งก็มี จีน ญี่ปุ่น เกาหลี พม่า ลาว ไทย เขมร ต่างก็มีเป็นเอกลักษณ์ชาติตัวเองกันทั้งนั้น
ไทยไม่เคยเคลมชาติไหนว่าขโมย “มวยไทย” ในขณะที่หลายชาติ นำมวยไทยไปผสมผสานดัดแปลง แล้วเรียกเป็นชื่อต่างๆ นานา แม้นำไปในเชิงพาณิชย์ด้วยซ้ำ
ดีซะอีก….
เพราะ “ของแท้” ใครเลียนแบบยังไงก็ไม่เทียม “ของแท้” จนทั่งโลกยอมรับมวยไทย บรรจุเข้าทำเนียบ “โอลิมปิก” ไปแล้ว!
เขมร น่าเห็นใจเขา
ในความเป็น “ศิลปวัฒนธรรมร่วม” แต่เขาไม่ได้รังสรร ต่อยอดศิลปวัฒนธรรมของเขาเลย
พันๆ ปีเป็นอย่างไร วันนี้ ชาวโลกจะย้ายไปอยู่ดาวดวงใหม่กันแล้ว ก็ยังกอดก้อนหินสลักภาพในนครวัดอยู่อย่างนั้น
ใครทำอะไร ก็อ้างว่า ลอกไปจากก้อนหินนครวัด ก็น่าเห็นใจอยู่
ฉะนั้น ผมว่า แบ่งๆ ให้เพื่อนเขมรเขาได้คุย ได้อวด ได้เบ่งทับบ้างเถอะ อย่าไปเบรคเพื่อนไปทุกเรื่องนักเลย
เดือนพฤษภา ๖๖ นี้ เขาเป็นเจ้าภาพซีเกมส์
เมื่อเพื่อนแสลงใจคำว่า “มวยไทย” ตัดออกไป เป็น “กุนขแมร์” หรือ “โบกาตอร์” แทน
เพื่อชาติของเขา จะได้เผยแพร่ศิลปการต่อสู้แบบเขมร และจะได้เหรียญทองเยอะๆ เพราะเห็นมีแข่งตั้ง ๒๑ เหรียญ ก็ให้เพื่อนเขาบ้าง
ไทยไม่ชำนาญมวยกุนขแมร์ ก็ไม่ต้องส่งไปแข่งประเภทนี้ หลีกทางให้ประเทศที่ชำนาญเขาแข่งกัน อย่าลืม กีฬาเพื่อความสามัคคี รักษาตรงนี้ไว้
อย่าให้กีฬามาทำให้ “ไทย-เขมร” ต้องกินแหนงแคลงใจกันเลย
ไทยเราก็ “ยุติสงครามเคลม” ได้แล้วกระมัง
เพราะโลกรับรู้แล้ว บรรจุคำว่า “มวยไทย” เข้าทำเนียบกีฬาสากลเรียบร้อยแล้ว
“นิ่งเสียตำลึงทอง” เอาอย่างนี้ดีกว่า เนอะ
เสร็จ “ซีเกมส์” ที่เขมร ขอเชิญนักกีฬาทุกชาติมาแต่งชุดไทยถ่ายรูปที่พระปรางค์วัดอรุณฯ กันนะ
รับประกัน “ไม่มีเคลม”!
เปลว สีเงิน
๒๗ มกราคม ๒๕๖๖
ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก