สังหรณ์ “กราบสังหาร” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ติดตาเลยนะ…คุณ “ธีราทร บุญมาทัน”
แม้ผมไม่ใช่คอบอล
แต่ลูกที่คุณทำให้ไทยครองแชมป์อาเซียนเป็นสมัยที่ ๗ วานซืนนั้น มันคลาสสิกระดับ “เทพตีนทอง” จริงๆ!
ติดตา ก็แค่ตีนเตะ
แต่ที่เหนือกว่าตีนเตะจนกระทืบใจผม คือ คุณไม่เพียงยกระดับ “บอลไทย” เท่านนั้น

การที่คุณให้สัมภาษณ์หลังจบเกม ว่า
“อยากให้เกมลูกหนังของอาเซียน มีความขาวสะอาด ไม่อยากให้มีการทำร้ายกัน
อยากให้เป็นการเล่นฟุตบอลที่ขาวสะอาดจริงๆ
ผมเองอยากให้วงการฟุตบอลอาเซียนของเรา พัฒนาไปสู่ระดับขั้นสูงกว่านี้ ไปพร้อมๆ กัน” นั้น

ธีราทร ครับ ….
คุณคือ “ต้นแบบคิด” ของสังคมชาติ ที่ผมขอยกย่องและนับถือคุณจากใจ

คำพูดประโยคนั้น ไม่เพียงยกระดับบอลไทยเท่านั้น ยังยกระดับ “คุณภาพประเทศ-คุนภาพคนไทย” ด้วย
สังคมบ้านเราทุกวันนี้ มีแต่เรื่องแย่ๆ คนแย่ๆ การเมืองแย่ๆ และเรื่องวิปริต-ผิดเพศ เผยแพร่เต็มไปหมด

ยิ่งใครทำได้ “สุดยอดแย่” ยิ่งดัง
ได้ “ออกจอ-ออกสื่อ” ทุกแขนง จนเป็นค่านิยมใหม่
วิปริต-วิตถาร ถึงขั้น “เลวสุดขั้ว-ชั่วสุดขอบ” ได้มากเท่าไหร่
ยิ่งดัง….

ยิ่งเป็นช่องทำมาหากิน ได้ตังค์ มากขึ้นเท่านั้น!
เมื่อ “เลวได้ตังค์ แถมดังด้วย”…..
เพราะได้เป็นดาราข่าวออกจอ “กรอกหู-กรอกตา” ทุกวันๆ และทุกช่องทาง

ดังนั้น สังคมจอกแหน จึงซับซึม เกิดเป็นทัศนคติตามว่า “ทรามแล้วรวย”
อาชีพแปลกๆใหม่ๆ “งานง่าย-เงินคล่อง” จึงเป็นอาชีพฮิตใน “สังคมรุ่นใหม่” ทุกวันนี้

เช่น รับจ้างโพสต์ชังชาติบ้าง เสียดสีสถาบันบ้าง ใส่ร้าย-ป้ายสีคนอื่นบ้าง ต้มตุ๋น-หลอกลวงบ้าง อบายมุขต่างๆ บ้าง
กระทั่งเกิดอาชีพ “กระโหร่ง” คือผู้ชายขายบริการกับหญิง เข้ามาแข่ง “หญิงขายบริการ” กับชาย
โลกมันกลับขั้วกันไปหมด….

วันนี้ LGBTQ เป็น “เรื่องของธรรมชาติ” ไปแล้ว
ที่มาใหม่ “เหนือธรรมชาติ” หญิงเที่ยวบาร์โฮส หิ้ว “กระโหร่ง” ขึ้นหน้า-ขึ้นตากว่า ชายไปหิ้วหญิง ตามผับ-ตามบาร์
มันก็ไม่ได้สะท้อนอะไรไปมากกว่าคำว่า….
จิตใจ เป็นเรื่องมายา

เงินทอง-สิ่งของวัตถุ คือเรื่องจริง ที่ต้องแสวงหา!
ศาสนา, บาปบุญ-คุณโทษ, ศีล-ธรรม, เป็นเรื่องมอมเมา เป็นเรื่องหลอกลวง

มีแต่ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภรดรภาพ” เท่านั้น คือศิวิไลซ์ยุคสังคมรุ่นใหม่ “ใจวัตถุ”!
เหตุนั้น เมื่อได้ฟังคุณธีราธรใช้คำว่า “ขาวสะอาด” กับเกมในแง่มุมพัฒนา ผมจึงประทับใจ

เพราะคำว่า “ขาวสะอาด” ธีราทรจะเอ่ยคำนั้นออกมาไม่ได้ ถ้าใจเขายังเป็น “ใจวัตถุ”
เราต้องช่วยกัน ส่งเสริมคน “คิดดี-พูดดี-ทำดี” ให้เป็นคน “สังคมต้นแบบ” ในสังคมข่าว ในจอโทรทัศน์-จอมือถือ
ให้มากๆ และบ่อยๆ…..

อย่างที่บรรดาสื่อ “เชิดชูสังคมเลว” จนคนสังคมใหม่หรือสังคมที่อ่อนไหว “อยากเลวตาม” ดังเป็นทุกวันนี้
ไม่ได้หวังไปกลบดังหรือไปพังอาชีพใครเขาหรอก

แค่อยากให้มันมีตัวอย่างดีเป็น “สังคมคู่เทียบ” กับสังคมเลวเป็นการ “ถ่วงดุลสังคม” บ้างเท่านั้น
เพราะผมเข้าใจ ในอดีตโลก ปัจจุบันโลก ตราบอนาคตโลก มีไม่โลกยุคไหน ที่ใครจะทำให้มนุษย์ “คิดเหมือนกัน-พูดเหมือนกัน-ทำเหมือนกัน” ได้หรอก!

“ความต่าง” คือ “ต้นทางของคิดสร้างสรร”
ฉะนั้น เราอย่าไปปฎิเสธใคร ที่ “คิดต่าง-ทำต่าง”
แต่จงอยู่ร่วม…
แล้วบริหารความต่างนั้นในรวมรวมสู่การ “สร้างสรร”

ระบอบ “ประชาธิปไตย” โดยปรมัตถ์
เข้าใจกันมั้ย?

ปรมัตถ์ คือ ความจริงอันเป็นที่สุด, ประโยชน์เป็นที่สุด, อย่างยิ่งที่สุด
นั่นคือ “ประชาธิปไตย” ต่างขั้ว-ต่างคิด แต่ความต่างนั้น เส้นทางที่บรรจบกัน คือ “สร้างสรรสังคมชาติ”
ก็ระบบ “รัฐสภา” นั่นแหละ

มีฝ่ายค้าน, ฝ่ายรัฐบาล ถกเถียงกันด้วยต่างคิดเห็น สุดทางของความต่าง อยู่ที่สร้างสรร
แต่ “ความจริงอันเป็นที่สุด” ในการคิด-การทำของนักการเมืองบางพวก-บางฝ่าย ขณะนี้ มันเป็นอย่างนั้นมั้ย?
คลอดจาก “รูหีบเลือกตั้ง” ใบเดียวกันแท้ๆ….

อีกพวก บอกตัวเองเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” แล้วผลักอีกพวกเป็น “ฝ่ายเผด็จการ”!
นี่มันไม่ใช่ “ปรมัตถ์” ในมิติ แตกต่างเพื่อสร้างสรรค์ในทางรวม
แต่มันเป็นประชาธิปไตย “ปรแม้ว” เพื่อทำลายล้างในทางแยก “ล่มชาติ-แตกบ้านแตกเมือง”!

“ประชาธิปไตย” น่ะ ไม่ปลอม
แต่มีคนปลอมประชาธิปไตยไปเป็น “เครื่องทรงโจร”
มันจึงยากที่จะบรรจบในทางสรรรสร้างสังคมรวม

เพราะประชาธิปไตย “พาพ่อกลับบ้าน”….
มันคือประชาธิปไตยสู่สังคม “โกงแบ่งกัน” ในเส้นทางทำลายล้าง “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน”
แล้วสถาปนา “ไทย..สาธารณรัฐ” แบ่งประเทศกันครอง!

ธีราทร ยังมองประเทศผ่านวงการฟุตบอล ด้วยมิติ ไทยก้าวข้ามอาเซียนไปสู่เอเชีย
คือมองด้วยมิติ ประเทศพัฒนา สร้างสรร ทะยาน พุ่งไปข้างหน้า

แต่การเมือง ในระดับ “อำนาจนำประเทศ” ยังมีพรรค ยังมีนักการเมือง มองถอยหลัง หวังในทางมีอำนาจเพื่อเปลี่ยนชาติ ล้มสถาบัน

ตราบที่ประชาธิปไตยไทย ……..
ยังเป็นประชาธิปไตย “ปรแม้ว” จะก้าวผ่านคำว่า “ชาติกำลังพัฒนา” ไปสู่คำว่า “ชาติพัฒนาแล้ว” คงยาก!

พูดกันตรงๆ เมื่อตัวทำเป็นประชาธิปไตย แต่ใจยังเป็นโจรโค่นเมือง
รายการ “บู๊ล้างผลาญ” ชนิด “ล้างบาง” เกิดคงต้องขึ้นกันอีกจนได้ ผมว่า!?

เพราะภาษิตไทยท่านว่าไว้ ตราบใดที่ “เลือดหัวไม่ตก-ยางไม่ออก” มันจะไม่สำนึก
เพราะผมมองดูแล้ว ยิ่งใกล้เลือกตั้ง คำว่า “วัวใคร-เข้าคอกคนนั้น” มันยิ่ง “แยกพระ-แยกโจร, แยกเทพ-แยกมาร ชัดขึ้น

เออออ…ผมนี่ก็พิลึก
ตั้งต้นจะบอกว่า เมื่อวาน ไปหาหมอ กลับค่ำ เลยอดคุย แต่พอจิ้มคอมฯ เหมือน “ผีถ้วยแก้ว” สิงนิ้ว คุยอะไรไปก็ไม่รู้

ตั้งใจจะคุยเรื่องลุงป้อม กับเรื่องสส.พลังประชารัฐ ชุดธรรมนัส ที่เคยขับออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย
ตอนนี้ คณะธรรมนัส “คืนรัง” เป็น ๒ ป.เรียบร้อยทางพฤตินัยไปแล้ว

ทักษิณ เคยมาในบท “กราบแผ่นดิน”
หญิงอ้อ มาเคยในบท “กราบไป-สู้ไป”

วานซืน ธรรมนัสมาในบท “กราบลุงป้อม”
วันก่อน ลุงป้อมเขียนจดหมายจากใจ ประกาศตัวเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”

วันนี้ นายบุญสิงห์ “มือขวาธรรมนัส” ประกาศ…..
“มีแนวโน้มเป็นไปได้กับทุกพรรคที่พรรคพลังประชารัฐจะไปร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล
พรรคพลังประชารัฐวางสถานะจุดยืนทางการเมืองคือการเป็นพรรครัฐบาล

แม้อาจจะมี ส.ส.ไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในสภาฯ
แต่เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นพรรคที่มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล”

ระวัง “กราบสังหาร” นะลุงป้อม
ผมละเสียวแทน!

เปลว สีเงิน
๑๘ มกราคม ๒๕๖๖

 

Written By
More from plew
“เศรษฐา” ที่ไม่รู้ “หน้าที่” #เปลวสีเงิน
เปลว สีเงิน คำสอน “ศาสนา-วิชาการ-ทฤษฎี-ลัทธิ-ตำรา” มันคือ “กรงขัง” ใครโง่ ก็หลงเข้าไป ถูกขังทั้งตัว ทั้งความคิด ทุกหลักการ-ทุกระบบ-ระบอบบริหารและปกครองบรรดามีในโลก กระทั่งว่า...
Read More
0 replies on “สังหรณ์ “กราบสังหาร” – เปลว สีเงิน”