การเมือง “บ้านทรายทอง” – เปลว สีเงิน

www.plewseengern.com

เปลว สีเงิน

“การเมือง” น่ะ…..
ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือง-เรื่องของนักเลือกตั้งอย่างที่บางคนเข้าใจ
หากแค่ “การเมือง” คือ…….
“บ้านทรายทอง” หลังหนึ่ง
เป็นมรดกตกทอดจากเจ้าคุณทวด-เจ้าคุณปู่ ผู้เป็น “ต้นตระกูลไทย” เป็นบรรพบุรุษผู้สืบและส่งต่อกันมาจาก “รุ่น-สู่รุ่น”
จากกรุงสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ปัจจุบัน
ก็ “ร่วมพันปี” แล้ว!

เจริญวัฒนาสถาพรในร่องรอยอารยะมาเรื่อยๆ บางครั้งก็รุ่งเรือง บ้างครั้งก็ร่วงโรย หมุนเวียนกันไป

แต่สรุปรวม บ้านหลังนี้ “มั่นคง-เข็งแรง-แน่นหนา” โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์-เอกราช จนเพื่อนๆ ในอุษาคเนย์ ทั้งชื่นชมและทั้งอิจฉาบ้านทรายทองของเรา

“บ้านทรายทอง” อันอบอุ่นหลังนี้ เรามีสมาชิกสายเลือดตระกูลไทย อยู่ร่วมกัน ณ ปัจจุบัน ก็ใกล้ ๗๐ ล้านคนแล้ว!

ที่ผมนิยามให้เห็นเช่นนี้………
ก็ด้วยอยากบอกว่า “การเมือง” คือเรื่อง “บ้านทรายทอง” อันเป็นของเราทุกคน

เราทุกคน มีสิทธิ์-มีส่วนในความเป็นเจ้าของ ฉะนั้น อย่านิ่งดูดายให้โจรเหิม
ต้องช่วยกันดูแลรักษา สืบสานเจตนารมณ์บรรพบุรุษ ให้ดำรงคงอยู่ เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานเราทุกคน ในสภาพที่ มั่นคง-แข็งแรง และเจริญรุ่งเรือง

มิใช่ส่งต่อ “บ้านทรายทอง” ที่รุ่นเรา “รุมทึ้ง-กัดแทะ” แย่งชิงกัน จนเหลือสภาพ “ซาก”
หรือสภาพ “บ้านขายฝาก” ให้ต่างชาติ-ต่างภาษาเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอง!

ทุกวันนี้ สมาชิกบ้านทรายทอง แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ

-ส่วนหนึ่ง พวกเอาบ้าน-เอาเมือง
-อีกส่วน พวกโกงบ้าน-กินเมือง
-ส่วนที่สาม พวก “ธุระไม่ใช่” เอาสบาย-เอาประโยชน์เฉพาะตัว แถมเอาตีนราน้ำอีกตะหาก

และผมสังเกตว่า ในส่วนแรกจะมีมาก “ไม่เท่า” ส่วนที่สองและที่สาม

พวกโกงบ้าน-กินเมือง, พวกธุระไม่ใช่นี่ พร้อมลื่นไหลในทาง “สมประโยชน์” เป็น “กลุ่มใหญ่” ในบ้านทรายทอง

ส่วนพวกแรก คือพวก “เอาบ้าน-เอาเมือง” จะเป็น “กลุ่มน้อย” ในบ้านทรายทองที่อยู่ร่วมกัน

ไม่ใช่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้นนะ…..
ถ้าเราศึกษาประวัติความเป็นมาของบ้านทรายทองตระกูลไทย คนในบ้าน จะประกอบด้วยคน ๓ ลักษณะนี้มาตลอด

และก็แปลก………
พวกโกงบ้าน-กินเมือง และพวก “ธุระไม่ใช่” คอยฉกฉวยประโยชน์เฉพาะตนด้านเดียว มักจะเฟื่องฟู เปรื่องยศ เปรื่องอำนาจบารมี

ส่วนพวก “เอาบ้าน-เอาเมือง” จะเหมือน “นนทก”!
“แบกประเทศ” อย่างเดียว ไม่ได้กินดี-อยู่ดีกับเขา แถมยังต้องตามล้าง-ตามเช็ดให้พวกเขาอีกด้วย

โบราณไทยถึงมีคำว่า “ด้านได้-อายอด”
ด้านได้-หมายถึง ด้านต่อศีล-ต่อธรรม ต่อความถูกต้องและต่อกฎหมายบ้านเมือง เมื่อด้าน จึงได้

ส่วนพวกอาย คืออายต่อบาป อายต่อการทุจริต-คิดไม่ซื่อ และถือสัตย์ ถือธรรม ถือกฎหมาย พวกนี้ มัวแต่อาย จึงอด!
ภาษิตนี้ ไม่ใช่สนับสนุนให้คนด้าน เพื่อได้

หากแต่ท่านสะท้อน “สภาพสังคมคน” ยุคนั้น-สมัยนั้น ให้เห็น และมันก็เป็นแบบนี้ทุกยุค-ทุกสมัย จนกลายเป็น “บุคลิกไทย” ไปแล้ว

ก็จะมีคำถามว่า คนไทย “บ้านทรายทอง” มีแต่คนกิน-คนโกง กับคนฉกฉวยเฉพาะตัวเป็นส่วนมาก

แล้วไทยดำรงคงไทยอยู่ได้อย่างไร?
โบราณท่านมีคำตอบด้วยภาษิตว่า “ซื่อกินไม่หมด-คดกินไม่นาน” นั่นยังไงเล่า!

นั่นคือ สุดท้ายแล้ว พวกหน้าด้าน อันธพาลโกงบ้าน-กินเมือง ด้วย “ความคด”

มันก็ฟู่ฟ่า ด้วยเงินทอง ด้วยอำนาจ-วาสนาอยู่พักเดียว เหมือนไฟที่ปลายไต้-ปลายเทียน ลุกไป-สว่างไป ก็กินตัวเองไป
สุดท้าย ทั้งไต้-ทั้งเทียน ก็หมด-มอดไหม้ ไม่มีเหลือ

คนคด ก็เช่นนั้น มันต้องหมด มันต้องวิบัติฉิบหาย ด้วยคดในตัวมันเอง!

ส่วนคนซื่อ คือคนเอาบ้าน-เอาเมือง สุจริตต่อชาติบ้านเมือง เคารพกฎ-กติกาบ้านเมือง จะเหมือน “แผงโซลาเซลล์”

ตราบใดที่โลกยังมีดวงอาทิตย์….
ตราบนั้น คนซื่อสัตย์-สุจริต ก็จะได้รับพลังสุริยา “สะสมพลังงาน” ไว้ไม่มีวันหมด

ต่อให้ “บ้านทรายทอง” มืดมิด…….
ก็สว่างได้ด้วยไฟแห่งพลังสัตย์ซื่อ ที่ไม่หันหลังให้ส่วนรวม ไม่ยอมให้พวกหยาบช้า พวกหนังหนา-หน้าด้าน ทำทุราจารกับบ้าน-กับเมืองได้

แล้วในเมื่อคน “เอาบ้าน-เอาเมือง” มีส่วนน้อย มันจะไปชนะโจรกินบ้าน-กินเมืองที่มีเป็นส่วนมากได้หรือ?
ได้ซี…ได้แน่นอน “ล้านเปอร์เซนต์”

เพราะยังมีภาษิตสะท้อน “ประวัติศาสตร์” มนุษยชาติพันธุ์ไทยไว้อีกบทว่า
“ธรรมย่อมชนะอธรรม”!

เห็นมั้ย ตรงกับหลักธรรมชาติที่ว่า “ปริมาณไม่ใช่ตัวบ่งบอกคุณภาพ”
ไม่งั้น “แกลบ” ก็ต้องมีราคาแพงกว่า “ข้าวสาร” ไปนานแล้ว จริงมั้ย?

“น้อย” แต่ “มาก” คุณภาพ
หนักแน่นในภาระลูกหลาน “บ้านทรายทอง” นี่แหละ สุดท้าย ก็เอา “ชาติรอด” มาได้ทุกยุค-ทุกสมัย

เราเรียนประวัติศาสตร์ชาติมา………
เคยมีบันทึกไว้ซักบรรทัดมั้ยว่า ทุกครั้งที่รบกับพม่า ไทยมีกำลังทัพมากกว่าเขา หรือเท่าพม่า?

น้อยกว่าเขาระดับ ๑:๓ มาตลอด แต่ไทยไม่เคยแพ้ เพราะเลือดไทยที่เอาบ้าน-เอาเมืองนี่แหละ
ที่แพ้ในสภาพ “กรุงแตก” ทั้ง ๒ ครั้งนั้น ไปศึกษาให้ดี

แพ้เพราะ “พม่ามากกว่า”
หรือแพ้เพราะ “คนขายชาติ” กับพวก “ธุระไม่ใช่” ที่จ้องจังหวะ “ฝ่ายไหนชนะ เข้าด้วยช่วยขายชาติ เป็นไส้ศึก?”

ด้วย “ธรรมย่อมชนะอธรรม” นี้แหละ คือบทสรุปของคำตอบสุดท้าย ใครอยู่-ใครไป?
ต่อให้เกณฑ์กันมา ๘ สำนักจานมหา’ลัย ๘ สำนักสื่อใหญ่ ทำโพลล์ นายกฯประยุทธ์ตายแน่

แต่ขอให้ดู “สงครามครั้งสุดท้าย” ของพม่า “พระเจ้าปดุง” ยกทัพมาถึง ๙ ทัพ ด้วยรี้พลสกลไกรมากถึง ๑๔๔,๐๐๐นาย

แยกเป็น ๕ ทิศ ๕ ทาง มุ่งเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์

วิกิพีเดีย บันทึกว่า…….

ทัพที่ ๑ ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช

ทัพที่ ๒ ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรี เพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์

ทัพที่ ๓ และ ๔ เข้ามาทางด่านแม่ละเมา แม่สอด

ทัพที่ ๕-๗ เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ ๓-๔ ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์

ทัพที่ ๘-๙ เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง ๕๐,๐๐๐ นาย
ยกเข้ามาทาง “ด่านพระเจดีย์สามองค์” เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือและใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ

เห็นมั้ย อริราชศัตรูที่จะมาปล้นบ้าน-ชิงเมือง มีกำลังมากเป็นแสน
แล้วไทยเราล่ะ มีกำลังพลเท่าไหร่?

“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” ทรงรวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ นาย
น้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง ๒ เท่า!

โชคดี ในจำนวนน้อยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นทหารที่กล้าแข็งและมั่นคงในชาติบ้านเมืองของ “พระเจ้ากรุงธนบุรี” แต่เดิม
คือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”…..

ที่ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนกลับมาจากพม่า ในปี พศ.๒๓๑๐ นั่นแหละ!

“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” กับพระอนุชา “สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท”
ทรงใช้ทหาร ๗ หมื่น เข้ารับมือ ทหาร แสนสี่หมื่น ของพม่า

ปรากฏว่า แสนสี่หมื่น แพ้ราบคาบให้กับ เจ็ดหมื่น!

และเรายังได้ “วีรบุรุษ-วีรสตรี” ให้ลูกหลานบ้านทรายทองได้รับรู้และดูจำไว้เป็นแบบอย่าง “สู้เพื่อรักษาชาติ”

เช่น ท้าวเทพกษัตรีย์ และท้าวศรีสุนทร ที่เมืองถลางและ “พระมหาช่วย” ที่พัทลุง เป็นต้น!

นี่ผมเฉื่อยแฉะ นึกอะไรได้ ก็คุยเรื่อยไปตามเรื่อง-ตามราว และอยากบอกแฟนๆ การ์ตูนไทยโพสต์ว่า
เรื่อง วีรสตรีโลก “ย่าโม” ท้าวสุรนารี จบไปแล้ว

ต่อด้วย การ์ตูนประวัติศาสตร์ “สุโขทัย” เมืองมรดกโลก ของกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้

ประวัติศาสตร์คือ “รากเหง้า” คุณหนู คุณพี่ คุณน้อง รู้กันไว้บ้าง ไม่งั้น “บ้านทรายทอง” อาจถูกนำขายทอดตลาด แล้วบรรพบุรุษท่านจะร้อง

“ไอ้ลูกหลานจัญไร” ทั้งในสภาและในถนน!

เปลว สีเงิน

๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๕


Written By
More from plew
ประเทศไทยร้อนๆ จ้า – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ…? เปลว สีเงิน ผมจะไม่ใช้คำว่า…… “การจัดให้ประชาชนปาตานีออกเสียงลงประชามติ “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” กับการแยกดินแดน ๓ จังหวัดใต้เป็นเอกราช ที่จัดขึ้นที่...
Read More
0 replies on “การเมือง “บ้านทรายทอง” – เปลว สีเงิน”