ผักกาดหอม
มาเป็นชุด!
วานนี้ (๙ มิถุนายน) ๖ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขึงขังยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งแถลงข่าว เปิดซักฟอกรัฐบาลลุงตู่
ใช้ชื่อยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน”
“ชลน่าน ศรีแก้ว” อธิบายว่า…
เด็ดหัว คือ จะเป็นการอภิปรายเด็ดหัวนายกรัฐมนตรี
นั่งร้าน คือ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ข้อหา…
ความผิดพลาดล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน
จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม
ส่อทุจริตเอื้อประโยชน์
ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา หรือเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายได้เคยทักท้วง
การละเมิดสิทธิมนุษยชน
และการทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
ครับ…ข้อหานี้นำไปสู่การเด็ดหัว
สมมติฐานเดียวกันนี้หากเทียบกับข้อหาในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวที่แล้ว ครั้งนั้นโทษก็คง ประหาร ๗ ชั่วโคตรเลยทีเดียว เพราะข้อหารุนแรงกว่าคราวนี้เยอะ
ยกตัวอย่างเช่น…
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสํานึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรม จริยธรรม และไร้ความสามารถ ที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นําประเทศ
ทําให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน
ปล่อยให้คนติดโควิดตายกลางถนน ตายในรถ ตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นและพี่น้องประชาชนอย่างยิ่ง
ค้าความตายวัคซีน การจัดหาวัคซีนที่มีพฤติการณ์ปิดบังอําพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติ และไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด
อีกทั้งแอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทําลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน มีผลทําให้ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น
เห็นวัคซีนเป็นสินค้า สาธารณะ เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกําไรจากวัคซีน
ปล่อยปละละเลยให้มีการเสนอ และใช้จ่ายงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์การสู้รบใดๆ
ทําให้ประชาชนทุกข์ยาก เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ทําให้ประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และกลายเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก
ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอํานาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนทําให้อยู่ในสภาพของคนเป็นโรค “โอหังคลั่งอํานาจ” (Hubris Syndrome) ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นําประเทศได้อีกต่อไป
ดังนั้น หากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะทําให้ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้น จนไม่สามารถที่จะหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ และไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ได้ ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานทั้งจากโรค
และการดํารงชีวิต บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น อันจะนํามาซึ่งความหายนะของประเทศชาติอย่างแท้จริง ตามที่มีการกล่าวกันว่า “ผู้นําโง่ เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่ คือภัยอันตรายร้ายแรง เมื่อได้กลายเป็นผู้มีอํานาจ…
เห็นฐานความผิดมั้ยครับ ความผิดของผู้นำโง่เมื่อปี ๒๕๖๔ ควรจับประหารทั้งโคตรจริงๆ
แต่…หนึ่งปีผ่านไป ภายใต้ผู้นำโง่ สถานการณ์การระบาดโควิด-๑๙ ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ระดับ ๒-๓ พันคน เสียชีวิตกว่า ๒๐ คน
เราไม่ได้ตายกันหมด!
และฝ่ายค้านก็ไม่มีใครตาย อยู่รอดปลอดภัยกันดีทุกคน
แน่นอนครับเศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งโลก เพราะนอกจากการระบาดของโควิด-๑๙ แล้ว ยังมีสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ผสมโรง
แต่วันนี้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว แม้จะยากลำบากเพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น อาทิ น้ำมันราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์
มันก็เป็นความยากลำบากของคนทั้งโลก
เพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้
ก็เป็นที่น่าสังเกตครับว่า ทำไมการอภิปรายครั้งนี้ ฝ่ายค้านไม่เน้นเรื่องโควิด และวัคซีน เหมือนครั้งก่อน
คำตอบน่าจะมาจาก วิกฤตโควิดเบาบางลง ส่วนวัคซีนอยู่ในสถานะที่รัฐบาลต้องอ้อนวอนให้ประชาชนไปฉีด
แสดงว่า ๑ ปีผ่านไป ผู้นำโง่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
หากฝ่ายค้านจะแย้งว่า ก็มันดีขึ้นทั้งโลก
ถ้าอ้างกันแบบนี้ ก็ต้องใช้ตรรกะเดียวกับช่วงโควิดขาขึ้นด้วย เพราะมันเลวร้ายไปทั้งโลก ไม่ใช่เลวร้ายเฉพาะประเทศไทย
ข้อกล่าวหา โอหังคลั่งอํานาจ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะฝ่ายค้านด่านายกฯ และรัฐบาลเสียๆ หายๆ ทุกวัน วันละสามเวลาหลังอาหาร
ฝ่ายค้านก็อยู่รอดปลอดภัยกันดีทุกคน
ครับ…ก็น่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เริ่มจะเป็นกิจกรรมที่ฝ่ายค้านใช้หาประโยชน์ทางการเมือง
กลายเป็นกิจกรรมที่ต้องทำตามฤดูกาล มากกว่าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
จุดประสงค์ฝ่ายค้านก็เปลือยหมดเปลือกกันมานานแล้ว
อยากเปลี่ยนรัฐบาล
ความหมายคือ อยากเข้าสู่อำนาจแทน
มาดูข้อหาใหม่สำหรับปีนี้ หากไม่เห็นว่าใครยื่นซักฟอกใคร ก็พานคิดเอาได้ว่า เป็นบัญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะผลที่สำแดงออกมาในวันนี้ เข้าข่ายเกือบทุกประการ
ผิดพลาดล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งชาติ กลับเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนโกง
จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม ยิ่งลักษณ์ โยกย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เพื่อนำพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ทุจริตเอื้อประโยชน์ โครงการรับจำนำข้าว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก “ยิ่งลักษณ์” ๕ ปี เจ้าตัวหนีไปต่างประเทศ
ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาหรือเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายได้เคยทักท้วง ข้อหานี้เทียบกับสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยื่นซักฟอกยิ่งลักษณ์ ดูเป็นขนมไปเลย เพราะครั้งนั้นแรงกว่าหลายเท่า
“น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังกระทำผิดกฎหมายซ้ำซาก วางแผนใช้อำนาจออกกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยมิชอบ อันเป็นการทุจริตรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อน แยบยล ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐบังคับใช้กฎหมายโดยมิชอบ เพื่อทำลายฝ่ายเห็นต่างทางการเมือง ปล่อยให้บุคคลในครอบครัว “กดปุ่ม” สั่งการตามอำเภอใจในทุกรูปแบบ จนประเทศไทยเสมือนมีนายกรัฐมนตรีหลายคน วนเวียนหาประโยชน์ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา”
การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรต์วอตช์ ออกรายงานเมื่อปี ๒๕๕๕ ระบุว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ ยังคงไม่ได้แก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงของประเทศไทย รวมถึงการยังไม่ได้เอาผิดกับผู้ที่รับผิดชอบต่อความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก และการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยและแรงงานต่างด้าว
ข้อหาสุดท้าย ทำลายระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา เสียบบัตรแทนกัน ลักหลับผ่านกฎหมาย
หัวถูกเด็ดจนต้องหนีไปต่างประเทศ
เมื่อโจรตะโกนว่าจะจับโจร
ใครจะเชื่อโจร?
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า