ลึกแต่ไม่ลับใครสั่งเผาเมือง-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

เขาว่า “คนเสื้อแดง” กำลังเนื้อหอม

จริงหรือเปล่า?

แรงกระเพื่อมจาก “อุ๊งอิ๊ง” ประกาศชักชวนคนเสื้อแดงกลับเพื่อไทย มีการพูดถึงกันมากทีเดียว

เพราะเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ๕๓ ผ่านไปหลายปี  สำหรับเสื้อแดงหลายๆ คนหลายสิ่งหลายอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

บางคนยังภักดีกับ “ทักษิณ”

แต่หลายคนคิดได้ ขอปลีกตัวไปอยู่เงียบๆ

หรือไม่ก็ยืนฝั่งตรงข้ามไปเลย อย่างเช่นเครือข่ายของ  “แรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์”

ปฏิกิริยาจากคนเสื้อแดงฝั่งที่กลับใจไม่เอา “ทักษิณ”  มีเหตุผลน่าสนใจครับ

“อานนท์ แสนน่าน” ประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชันแห่งประเทศไทย อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง เขียนข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ไว้ดังนี้ครับ

“…๑๙ พฤษภาคม วันคนเสื้อแดงถูกปล่อยทิ้ง หยุดวาทกรรมเก่าๆ ได้แล้วครับ

อย่าเอาประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไปเลย สงสารประเทศไทย หยุดทำลายประเทศไทยเสียเถอะ

จำคำนี้ได้มั้ยครับ ‘ให้เสื้อแดงไปรวมตัว กันที่ศาลากลาง’ แล้วสรุป สุดท้าย เสื้อแดงไปรวมตัว เผาศาลากลาง ถูกจับ ติดคุกกันเป็นร้อยคน หนีคดีอีกหลายร้อยคน ใครพูดครับ

แล้ว พ.ร.บ.นิรโทษที่เห็นกัน ว่าเสื้อแดงจะได้ออกจากคุกกันซะที แต่กลับมีมือดี เอาสุดซอย พ่วงเข้าไปเพื่อให้ คนต่างประเทศรอดคดีด้วย แล้วก็ เละเทะ จนนายกยิ่งลักษณ์ฯ ต้องยุบสภา

พ.ร.บ.ที่เสื้อแดงจะรอดคุก โดนถอดออก เสื้อแดงในคุก คงต้องคอตก รับชะตากรรมต่อ เพราะ ‘คนต่างประเทศ’ นั่นเอง…

คนเสื้อแดงในตอนนั้น สมัยนั้นต้องออกมาหาเงินเยียวยากันเอง

#เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล…”

ประวัติศาสตร์การเมืองจารึกไว้ว่า “ทักษิณ” มีบทบาทสูงต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี ๒๕๕๓ และปีก่อนนั้น

มีหลักฐานปรากฏเป็นคลิปข่าวให้เห็นมากมาย

แม้กระทั่งในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงเองก็ยอมรับว่า เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี ๒๕๕๓ ส่วนหนึ่งเพราะ คำสั่งจากแดนไกล

“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ให้ความเห็นไปเมื่อวาน (๑๘  พฤษภาคม) ว่า เดินมาถึงจุดที่คนเสื้อแดงเนื้อหอมขนาดที่ทุกพรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยเรียกหา คนเสื้อแดงเนื้อหอมขนาดที่ทุกพรรคการเมืองในฝ่ายประชาธิปไตยเห็นว่าเป็นพลังที่มีคุณค่า อยากที่จะชวนไปร่วมงานด้วย

แต่ก็มีบางตอน “ณัฐวุฒิ” ยอมรับว่า นปช.มันมีปัญหาเรื่องหลักการภายใน

“…เมื่อเหตุการณ์เดินมาถึงวันนี้ องค์กรนำของ นปช.มันมีปัญหาเรื่องหลักการภายใน ไม่ดำรงสภาพขับเคลื่อนอีกต่อไป แต่ว่าคนเสื้อแดงต้องไปต่อ การต่อสู้ทางการเมืองต้องไปต่อ ดังนั้นพรรคการเมืองแต่ละพรรคเมื่อเขาหันมาเห็นพลังนี้ เขาก็อยากที่จะชวนพลังนี้เข้าไปร่วมแนวทาง ร่วมอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิทธิ์ที่ทุกพรรคทำได้…”

นปช.มีปัญหาเรื่องการนำมาก่อนเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง

มีประเด็นลึกแต่ไม่ลับ จากบทสัมภาษณ์ของ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมได้ไม่นาน  เป็นการตอกย้ำว่ามีการแทรกแซงการนำการชุมนุม จนนำไปสู่วิกฤตมีผู้คนล้มตาย

“…คืนวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีการประชุมกันในตู้คอนเทนเนอร์ ผมเอามติเจรจากับฝั่งรัฐบาลที่จบว่าจะยุบสภากัน และเลือกตั้งวันที่ ๑๔ เดือนพฤศจิกายน ขอให้สลายตัวแล้วไปเลือกตั้งกันตอนนั้น ผมก็พิจารณาแล้วว่ามีเหตุผล ผมรับได้

เงื่อนไขของเราชุมนุมเมื่อ ๑๒ มีนาคม เราขอให้รัฐบาลยุบสภา เมื่อต่อรองกันมาจนกระทั่งรัฐบาลบอกว่าเอาล่ะยุบสภา เลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ผมก็ถือว่าบรรลุตามเป้าหมาย

แกนนำที่ไม่เห็นด้วยพูดมากไม่ได้ แต่พูดน้อยๆ ได้  เขามีเงื่อนไขปลีกย่อยแถมเข้ามา ซึ่งผมเห็นว่าเงื่อนไขปลีกย่อยที่ว่านั้นไม่คุ้มกับสิ่งที่ผมคาดว่าจะเกิดขึ้น

เพราะผมบอกเขาบอกว่าสถานการณ์ที่ผมอ่านทั้งหมดแล้วการปราบรุนแรงจะต้องเกิดขึ้น การบาดเจ็บการล้มตายจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องสงวนทุกชีวิตอย่าเสี่ยงเลย หยุดตอนนี้ดีกว่า ก็เราบรรลุเป้าหมายแล้วนี่หน่า หยุดเนี่ยเพื่อจะไปหาเสียงเลือกตั้งกัน

การต่อรองก็มาถึงจุดสำคัญ ผมก็บอกว่าถ้าอย่างนั้น พวกเราประมาณ ๒๐ คนโหวตกัน โหวตกันเดี๋ยวนี้ทุกคน   ถ้าจะอยู่ต่อไปก็อยู่ ถ้าจะหยุดก็หยุด ซึ่งในขณะนั้นผมซาวเสียงมาแล้วสักชั่วโมงสองชั่วโมง เสียงข้างมากคือรับเงื่อนไขไปเลือกตั้งก็หยุดการชุมนุม

ก็มีคนเสนอบ้างว่าอย่าเพิ่งโหวตเลย ยังมีเวลาอีกเล็กน้อย เราก็กลับไปคิดทบทวนกันก่อน เพราะที่ประชุมขณะนั้นเวลาสัก ๔ ถึง ๕ ทุ่ม ผมบอกก็ดีเหมือนกันเรื่องใหญ่ เรื่องคอขาดบาดตายของคนทุกคน เราก็มาโหวตกันพรุ่งนี้แล้วกัน วันที่ ๑๐ พฤษภาคม วันนี้เรากลับไปพักผ่อน แล้วคิดตัดสินใจอนาคตของตนเอง 

แต่ผมต้องบอกข้อหนึ่งนะเป็นข้อเท็จจริง ทุกคนยังไม่รู้มาก่อน คือถ้ามติออกมาว่าเราจะชุมนุมกันต่อไป ผมเชื่อว่าจะมีคนเจ็บและคนตาย ซึ่งผมไม่อาจร่วมรับผิดชอบได้แล้ว ผมขอหยุด

ถ้าโหวตเป็นอย่างนั้นผมขอหยุด และผมจะไม่เข้ามาบนเวที แต่ผมจะอยู่ข้างล่าง จะเป็นเสื้อแดงธรรมดาอยู่ข้างล่าง ถอดหมวกแกนนำออก

ก็ปรากฏว่าเราก็พักกัน พอเช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ ๑๐  พฤษภาคม คนที่เคยบอกผมว่าจะโหวตให้ผม เขาเปลี่ยนเสียงกันหมดแล้ว เขาบอกว่าขอโทษครับท่านประธาน ผมโหวตตามที่ผมเคยบอกกับท่านไม่ได้ ขอโทษด้วย ไม่มีคำอธิบาย มีเวลาจำกัด แต่ผมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นผมเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วส่งเข้าไปในที่ประชุมในวันที่ ๑๐ ว่า ผมไม่เข้าแล้วนะเพราะผมรู้ว่ามติออกมาว่าชุมนุมต่อ แต่ผมเขียนจดหมายเพื่อไปเตือนสติกันอีกรอบหนึ่งว่า โดยประสบการณ์ที่ผ่านมาผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ปราบรุนแรง เพราะฉะนั้นเราสงวนชีวิตคนไว้เถอะ ไปเลือกตั้งกัน

ผมเปรียบเหตุการณ์ว่าเราเดินกันมานานเหมือนเราขึ้นรถไฟสายเชียงใหม่-กรุงเทพฯ เราบอกผู้โดยสารมาตลอดทุกสถานีว่า ใครที่มากับเราไปสันตินะ อหิงสานะ เราไม่มีใครพกอาวุธมานะ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่เราทำได้อย่างดีมาโดยตลอด แต่มันมาถึงวันที่ ๑๐ เมษายน เกิดบาดเจ็บล้มตายไป ๒๕ ศพ เราก็เห็นแล้วว่ามันไม่สันติแล้ว

บัดนี้ที่กำลังพูดมันมาถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ผมพบว่ามันจะมากขึ้น รถถึงบางซื่อแล้ว เมื่อผมเห็นบางซื่อถึงหัวลำโพงมีระเบิด ผมบอกเลยผมขอหยุดตัวเองไว้ที่สถานีบางซื่อ มีคนเห็นด้วยกับผม อดิศร เพียงเกษ บอกผมลงบางซื่อ วิสา คัญทัพ บอกผมลงบางซื่อ ก่อแก้วด้วย พวกนี้ได้พูดไว้ก่อน ผมได้ย้ำด้วยจดหมายนี้ไปอีกครั้ง แต่ผมจะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อว่าผมจะไม่ขึ้นเวที เพราะมันจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน เสียขบวนการต่อสู้  แต่ผมจะอยู่ข้างเวที และจะรับหน้าที่ติดต่อกับทีมรัฐบาลกับแกนนำเพื่อให้ได้พูดจากันต่อจากผม

จุดเปลี่ยนเกิดคืนวันที่ ๙ พฤษภาคม มีโทรศัพท์จากต่างประเทศ คนต่างประเทศอยู่ไกลจากข้อมูล อยู่ไกลจากเหตุการณ์จริง จะให้ดุลพินิจเท่ากับคนอยู่ในเหตุการณ์คงไม่ได้ ทีนี้คนต่างประเทศต้องรับข้อมูลจากคนในประเทศนี่แหละ สำคัญคือคนที่ให้ข้อมูลคือใคร แล้วให้ข้อมูลไปว่าอย่างไร เอาไว้ให้เจ้าตัวเขาพูดเองดีกว่า ให้นึกถึงใครก็ได้ที่ชอบบู๊ๆ มีกลุ่มหนึ่งคิดจะยึดอำนาจบนเวที แต่ผมฟังแล้วผมขำ เค้ามีกันประมาณสัก ๒๐ คน ไปประชุมกันว่าจะยึดเวที ‘อริสมันต์’ ยังไม่ใช่ตัวเอก แต่ไม่ขึ้นเวที

‘จตุพร’ ติดใจอยู่ข้อหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะยอมได้ แต่เขาไม่ยอม เขาต้องการให้รองสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ไปมอบตัวกับดีเอสไอ เขาคิดว่าเมื่อเราสลายเราต้องเดินเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย  หมายความว่าจะถูกดำเนินคดีทุกคน…”

ครับ…ฟังตามนี้ หากแกนนำ นปช.ยอมรับเงื่อนไขจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่จะยุบสภา แล้วไปเลือกตั้งวันที่ ๑๔  พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เหตุการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่มีการเผาเมือง

ไม่มีการสลายการชุมนุม

แต่เพราะโทรศัพท์จากแดนไกล ทำให้ทุกอย่างกลับกันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

วันนี้ “ทักษิณ” ส่ง “อุ๊งอิ๊ง” ขอคะแนนจากคนเสื้อแดง  ก็ลองคิดทบทวนกันดู เป็นอย่างที่ “อานนท์ แสนน่าน” ว่าไว้หรือเปล่า

๑๙ พฤษภาคม วันคนเสื้อแดงถูกปล่อยทิ้ง

ที่มา https://www.thaipost.net/hi-light/143929/


Written By
More from pp
การบินไทยพร้อมขนส่งวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นสายการบินแรกของประเทศไทย
15 ธ.ค.63-นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 บริษัทฯ ยังคงทำการบินในเที่ยวบินขนส่งสินค้า...
Read More
0 replies on “ลึกแต่ไม่ลับใครสั่งเผาเมือง-ผักกาดหอม”