ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
“เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง”..
ก็..เห็นจะจริงอย่างคุณนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ว่าเพราะเวทีการเมืองไม่ใช่ “เวทีประกวดนางงาม”
เมื่ออุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ประกาศตัวเป็น “หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย” โดยมุ่งหมายปลายทางตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เพื่อพาพ่อกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน..
พวกข้าใช้-บริวาร-ทาสผู้ซื่อสัตย์ หรือกระทั่งฝูงหมาในบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็ไม่ควรจะแยกเขี้ยว-เห่ากระโชกประสานเสียงให้เป็นที่หนวกหู-รำคาญตา!
โดยเฉพาะคำอ้างที่ว่า “เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ” – “หมาป่ากับลูกแกะ” หรือ “รังแกเด็กผู้หญิง” นั้น ขอโทษเถอะ..
อุ๊งอิ๊ง..ปีนี้อายุจะครบ 36 ขวบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเธอก็มีผัว-มีลูกแล้ว..นะจ๊ะ!
ที่สำคัญพ่อของเธอเอง เป็นคนแต่งตั้งให้เธอนั่งเป็น “ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย”
นั่นแสดงว่า พ่อของอุ๊งอิ๊งไม่ได้มองลูกสาวเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แล้ว คุณเทพไทจะวิจารณ์-วิเคราะห์ คุณวันชัยจะวิพากษ์-ติติง ข้าใช้-ฝูงหมาในบ้านก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนแทน
ในเมื่อพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเป็นคนดันให้อุ๊งอิ๊งก้าวเข้ามาสู่สนามการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ และเป็นคนของประชาชน ก็..อย่างคุณเทพไทบอก..
“เปรียบเสมือนการออกมายืนอยู่ที่แจ้ง ก็พร้อมที่จะให้แสงสปอตไลท์ส่องเข้ามา เพื่อให้ประชาชนได้เห็นโฉมหน้าค่าตาที่แท้จริง เหมือนกับนักการเมืองทั่วไป”!
มีสิ่งไหน-อะไรที่ต้องการสื่อสาร หรือชี้แจง-ตอบโต้ ก็ใช้ปาก ใช้สมอง-ความรู้ ความสามารถของตัวเองได้..
ข้าใช้-บริวารไม่เห็นจะต้องทำตัวเป็น “พี่เลี้ยง” ไปเสียทุกเรื่องเหมือนนางงามเพิ่งขึ้นเวทีประกวด!
นี่..ว่าไปแล้ว ผมเองก็แอบเชียร์ให้อุ๊งอิ๊งได้เป็นนายกฯ อยู่ด้วยคนหนึ่ง เพราะชั่ว-ดี ผมก็มองว่าเหนือกว่า “หมอชลน่าน” ยิ่งได้อ่านที่คุณไพศาล พืชมงคล ผู้หยั่งรู้ดิน-ฟ้า..
“ตอนนี้กระแสเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาเทกันมาที่อุ้งอิ๊งหมดแล้ว ผมลองถามหลาน ซึ่งเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยใหญ่มีชื่อเสียง ว่าเขาเลือกใครกัน หลานบอกว่า “เทให้อุ๋งอิ๋งทั้งมหา’ลัยครับก๋ง”
ยิ่งให้เกิดกำลังใจ มีความหวัง มีชีวิตชีวา ที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ และที่อยากเห็น-อยากรู้มากเป็นพิเศษ..
“นโยบาย จะเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชนแบบมีเกียรติ” ที่อุ๊งอิ๊งว่านั้น มันเป็นพันพรือ?
เอ้า..แล้วนั่นพันพรือล่าว? อยู่ดีๆ ช่อง 5 กับท็อปนิวส์ ถึงได้เกิดบาดหมางใจกัน จนถึงขั้นที่เจ๊ปอง อัญชะลีต้องโพสต์..
“ถ้าคุณถูกสั่งห้ามเสนอข่าว ยูเครนกับรัสเซีย คุณจะทำงานกับคน เหล่านี้ต่อไป ไหม ?”
ถามผม..ก็ต้องบอกว่า ไม่รู้สิ ต้องให้รู้ที่มาที่ไปก่อน เพราะการ “ถูกสั่งห้ามไม่ให้เสนอข่าวยูเครนกับรัสเซีย” มันต้องมีเหตุ-มีผล แล้วผมคนวงนอกจะไปรู้-จะตอบอย่างไรได้
ฟัง (อ่าน) ที่พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ผอ.ช่อง 5 อธิบาย.. “การตัดสัญญาณรายการเที่ยง ททบ.5 กลางอากาศนั้น เนื่องจากยังคุยกันไม่ลงตัว
เพราะยังมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งที่มีคำสั่งให้งดการนำเสนอข่าวไว้ก่อน โดยมองว่าตอนนี้ข่าวสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ในแง่ปฏิบัติการทางทหารไม่น่าสนใจแล้ว
ไม่ได้สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จึงได้มีการหารือกันว่าจะนำเสนอข่าวในแง่ของผลกระทบจากสงครามเท่านั้น”
ส่วนฝั่งท็อปนิวส์ยังไม่มีคำอธิบายให้ได้ยิน เหตุผลข้อเท็จ-จริงจึงยังไม่รู้ แต่ที่รู้นอกจากพล.อ.รังษีจะอธิบายข้างต้นแล้ว ท่านยังได้พูดอีกว่า..
“เอาเป็นว่าเราได้รับทราบว่ามีข้อห่วงใยว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน จึงได้งดการนำเสนอข่าวไปก่อน … คนเรานั้น คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แล้วพอเราล้ม ก็มีคนคอยเหยียบซ้ำ เรื่องธรรมดา”
แต่..ก่อนหน้าที่หลุดคำพูดนี้ ผมแอบได้ยินว่า..ในเมื่อสังคม-ผู้บังคับบัญชาอึดอัด-ไม่สบายใจ พล.อ.รังษีก็ได้แสดงสปิริตสมชายชาติทหาร..
ยื่นใบลาออกจากผู้อำนวยการช่อง 5 ตั้งแต่วันศุกร์นู้นแล้ว!