ผักกาดหอม
น่าสนใจครับ
วานนี้ (๒ มีนาคม) ที่พรรคเพื่อไทยคึกคักยิ่งกว่ามีหนังกลางแปลง
อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย จัดกิจกรรมเวิร์กช็อป หัวข้อ “คิด-เปลี่ยน-โลก สร้างโลกที่ดีกว่าและแก้ปัญหาด้วยความคิดเชิงนวัตกรรม”
ว่าไปแล้วนี่คือมิติใหม่ของพรรคเพื่อไทยเลยทีเดียว
เพราะมันต่างไปจากที่ หมอชลน่าน ศรีแก้ว, ประเสริฐ จันทรรวงทอง หรือ สุทิน คลังแสง อภิปรายในสภาอย่างสิ้นเชิง
เพื่อไทยหันมาพูดเรื่องกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรม เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนครับ
โดยทั่วไปนวัตกรรมเป็นคำพูดที่สวยหรู เมื่อนำมาใช้กับการเมือง สิ่งแรกที่จะถูกตั้งคำถามคือ สร้างภาพให้เข้ากับคนรุ่นใหม่หรือเปล่า
แต่การเมืองกับการสร้างภาพเป็นของคู่กัน ไม่ใช่เฉพาะการเมืองไทยครับ แต่การเมืองทั่วโลกล้วนต้องสร้างภาพทั้งสิ้น
นวัตกรรมอาจฟังดูเข้าถึงยากถึงต้องมีกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรม
ตามตำราอธิบายว่า การคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking) คือกระบวนการคิดในแนวสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาของผู้ใช้งานได้
ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย “อุ๊งอิ๊ง” แสดงวิสัยทัศน์ไว้แบบนี้ครับ
“…พรรคเพื่อไทยซึ่งมีรากจากพรรคไทยรักไทย ได้ใช้วิธีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาเพื่อให้เข้าใจปัญหา จนนำมาสู่การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้สำเร็จผ่านหลากหลายนโยบาย เช่น ๓๐ บาทรักษาทุกโรค รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พรรคการเมืองจึงต้องปรับวิธีการเก็บข้อมูล ที่ต้องมาจากประชาชนและการรับฟัง เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง นำมาผ่านกระบวนการคิดและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี ผ่านวิธี DIWK รวม ๔ ขั้นตอน ได้แก่
๑.D : Data จัดเก็บข้อมูลดิบ
๒.I : Information ประมวลผลออกมาข้อมูลที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
๓.W : Wisdom ใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา
๔.K : Knowledge ใช้องค์ความรู้ในการสร้างนโยบาย
เมื่อผ่านกระบวนการทั้ง ๔ ขั้นตอน จะได้มาซึ่งสมมติฐาน (Hypothesis) แล้วจึงนำมาสร้างวิธีการแก้ปัญหา (Solution) ออกมาเป็นนโยบายใหม่ๆ ต่อไป
พรรคเพื่อไทยสานต่อแนวคิดการลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนทั่วประเทศ ก่อนนำเสนอเป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทย
ซึ่งขณะนี้ ในบริบทที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เรายังไม่เปลี่ยนคือ การรับฟังและการค้นหารากของปัญหาที่แท้จริง เป็นกระบวนการคิดใหม่ที่พรรคการเมืองควรเพิ่มเสริมเข้าไปเพื่อตอบสนองสนองสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศ…”
ก็ว่าไปตามทฤษฎีนั่นแหละครับ
ประโยชน์ของการคิดเชิงนวัตกรรม การสร้างนวัตกรรมให้องค์กร ทำให้องค์กรมีไอเดียใหม่ๆ ถ้าเป็นพรรคการเมืองก็จะมีนโยบายใหม่ๆ ออกสู่สายตาประชาชน
นั่นจะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งทางการเมือง
แต่ “อุ๊งอิ๊ง” ข้ามขั้นตอนไปหน่อย
ก่อนเกิดการคิดเชิงนวัตกรรม สร้างนโยบาย อย่างแรกที่ต้องทำคือปรับองค์กรก่อน
นวัตกรรมขององค์กรถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า องค์กรนั้นต้องมีผู้นำหรือผู้บริหารที่มีความรู้และสามารถเข้าถึงความรู้ สามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม ผู้นำองค์กร ซึ่งก็คือผู้บริหารพรรคการเมือง จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ สลัดทิ้งทักษะเดิมๆ
ในทางการเมือง ผู้นำที่สร้างความขัดแย้ง หรือเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ยากที่จะนำพาการคิดเชิงนวัตกรรมไปสู่การปฏิบัติได้
การบริหารองค์กรในยุคปัจจุบันจึงมิอาจที่จะใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่เคยใช้มาในอดีต องค์กรจะต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวตลอดเวลา
ฉะนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทย จะก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำความคิดเชิงนวัตกรรมมาใช้ ก็ต้องปรับโครงสร้างพรรคใหม่เสียก่อน
อย่างแรกสลัดภาพพรรคนายทุน
หรือพรรคของตระกูลชินวัตรให้พ้นเสียก่อน
แค่เริ่มต้นก็ยากน่าดู เพราะยังมองไม่เห็นแนวโน้มว่า “ทักษิณ” จะปล่อยมือจากเพื่อไทย
ตลอดสิบกว่าปีมานี้ “ทักษิณ” แทรกแซงพรรคพลังประชาชน เพื่อไทย พรรคแตกแบงก์พัน ล้วนเป็นหนึ่งในต้นตอที่สร้างความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่ลูกสาวคุยเรื่อง ความคิดเชิงนวัตกรรม แต่พ่อไปอีกทาง
“โทนี่” ตั้งก๊วนกับกลุ่มแคร์ ใน Clubhouse ประกาศแบบไม่แคร์ใคร
“พ.ศ.นี้กลับแน่นอน”
ประเด็น “ทักษิณ” กลับไทย คือความล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
กลับโดย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ เป็นการปลุกมวลมหาประชาชนที่รับไม่ได้กับรัฐบาลโคตรโกง
ถ้ายังใช้วิธีเดิม ก็จะวนกลับไปสู่สถานการณ์เดิม
มวลมหาประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณอีก
แต่ประเด็นสำคัญคือ “ทักษิณ” เชื่อว่า เพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาลภายในปีนี้
วางตัว “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรี
แผนนี้เห็นแล้วหวาดเสียวแทน
ยังมีหนทางอื่นให้ “ทักษิณ” กลับมาอีกหรือ
เท่าที่เป็นไปได้ และเท่ที่สุดคือ กลับมาติดคุกก่อน
ส่วนคดีที่เหลือก็เบิกตัวไปขึ้นศาลเป็นคราวๆ ไป
นอกจากคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ซึ่งศาลสั่งจำคุก ๒ ปี และหมดอายุความไปแล้ว ยังมีคดีที่จบแล้วและโทษจำคุกรออยู่อีกหลายคดี
เช่น
คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย ๓ ตัว ๒ ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก ๒ ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ ๔ พันล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก ๓ ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๒ (เดิม)
คดีให้บุคคลอื่น ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน โดยบริษัท ชินคอร์ปฯ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม โดยศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก ๕ ปี ไม่รอลงอาญา
แบ่งเป็น ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก ๒ ปี
ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก ๓ ปี
มีคดีอยู่ใน ป.ป.ช.อีก ๒ คดี
คดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ลอตสอง จำนวน ๘ สัญญา
คดีการอนุมัติสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 และ A340-600 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี ๒๕๔๕-๒๕๔๗ ทำให้การบินไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้นถ้ากลับมา พ.ศ.นี้ก็ประมาณนี้ครับ
หากจะใช้วิธีเดิม หรือทางลัดอื่นๆ เป็นนวัตกรรมมืด “อุ๊งอิ๊ง” ก็จะจบเหมือน “ยิ่งลักษณ์”.
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า