ผักกาดหอม
๒๑ เสียงกลุ่มธรรมนัส ยังไม่จบ
หลังถูกถีบออกจากพลังประชารัฐ ดูเหมือนว่า เสียงที่เคยห้าวๆ ดูจะแหบๆ ลงไป
โดยเฉพาะจาก “ธรรมนัส พรหมเผ่า”
การเมืองก็แบบนี้แหละครับ พลิกได้ตลอดเวลา
ในอดีตคนที่คิดว่าตัวเองแน่ มี ส.ส.ในมือเป็นกอบเป็นกำ ตกม้าตายมาก็เยอะแล้ว
คิดหรือว่า ๒๑ คนจะมีจุดหมายปลายทางที่เดียวกัน
อีกอย่าง ๒๑ คนแค่มุ้งกลางๆ ไปทางเล็ก จะสำคัญก็ต่อเมื่อรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ใช่ เตรียมตัวพักร้อนยาว
วันก่อนพูดเรื่อง “ธรรมนัส” จะไปไหน วันนี้น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว “ลุงป้อม” ซื้อบ้านให้อยู่ตัดรำคาญไปเรียบร้อยแล้ว
แต่หมากเขาไม่ได้เดินแค่ชั้นเดียว
ไม่ได้ไปทั้ง ๒๑ คนครับ
“ธรรมนัส” เล่นการเมืองโฉ่งฉ่างเลยถูกตลบหลังแบบไม่รู้ตัว
วันนี้เริ่มเก็บทรงไม่อยู่ เพราะรู้ดี นับนิ้วไปมา อาจเหลือแค่ครึ่งของ ๒๑ คน ที่จะไปร่วมชายคาด้วย และนั่นคือหายนะ!
“ธรรมนัส” จะถูกลดความสำคัญลงไปอีกครึ่ง
สุดท้ายอาจมีสถานะแค่ “ผู้อาศัย” เท่านั้น
ครับ…ข่าว ๒๑ ส.ส.บางคน ขอย้ายกลับพลังประชารัฐ บางคนอยากไปซบตัก “เสี่ยหนู” อีกไม่กี่วันคงจะชัดเจน
นี่ไม่ใช่หมากตาสุดท้าย
ยังมีซ้อนอีกเป็นชั้นๆ
ที่แน่ๆ “ธรรมนัส” ไม่กล้าตัดสัมพันธ์ “ลุงป้อม” ไม่กล้าประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ใช่ว่าเพราะรอเวลาเอาคืน ตอนโหวตกฎหมายสำคัญ
ตรรกะง่ายๆ “ธรรมนัส” ไม่กล้าต่อรองเพื่อล้มรัฐบาล เพราะไม่พร้อมจะไปเลือกตั้ง แต่อีกทางหนึ่งยังหวังว่าจะได้กลับเข้าไปนั่งใน ครม.ลุงตู่
เอาไว้วันไหน “ธรรมนัส” กล้าถล่ม “ลุงป้อม” และพรรคที่ย้ายไปไม่ใช่พรรคเศรษฐกิจไทย ค่อยมาพูดเรื่อง “ธรรมนัส” ล้มรัฐบาล
ก็เพราะมันไม่ง่าย
ฝ่ายค้านเองโดยเฉพาะเพื่อไทย ใช่ว่าจะยอมรับ “ธรรมนัส” แบบไม่มีเงื่อนไข
เหตุผลคือ ด่าเขาไปหยกๆ ว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี จากคดียาเสพติดที่ออสเตรเลีย ลากไส้ในสภากันไม่รู้กี่ขด
ลองนึกภาพดู “ธรรมนัส” กลับไปเป็นรัฐมนตรีใน ครม.รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มันจะอัปยศขนาดไหน
เส้นทางของ “ธรรมนัส” จึงมีไม่มากนักหรอกครับ ที่ทำได้ตอนนี้คือทำตามที่ “ลุงป้อม” ต้องการ คืออย่าไปกวนใจ “ลุงตู่” ให้มากนัก
ออกไปทำพรรคเศรษฐกิจไทย ให้มีความเคลื่อนไหว เผื่อต้องรับกับสถานการณ์ฉุกเฉินช่วงเดือนสิงหาคม ถ้า “ลุงตู่” ไม่ได้ไปต่อ
วันนั้น “ลุงป้อม” จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ก็ประเด็นนายกฯ ๘ ปีนั่นแหละครับ
มันไม่แน่นอน เพราะต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ
แต่พลังประชารัฐวันนี้ ก็พยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่น
โฆษกสาว “พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์” แถลงข่าวฟังแล้วชวนให้คิด
“…พรรคพลังประชารัฐ ยังเชื่อมั่น และพร้อมชู พลเอกประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และขอยืนยันความสัมพันธ์ของ ๓ ป. Forever ว่ายังคงแน่นเหนียว
เป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ สถานการณ์
พรรคพลังประชารัฐ เรามีจุดยืนที่ชัดเจน ที่มุ่งเน้น การอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์…”
การยืนยัน ๓ ป. Forever เป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ สถานการณ์ คนวงนอกอาจมองไม่ออก แต่วงในเท่าที่กระซิบกระซาบมา ยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมา
แต่การบริหารพรรคการเมืองมันต้องมีศิลปะ เพราะไม่ได้เรียบง่ายเรียบร้อยเหมือนนั่งพับผ้า
พรรคการเมืองใหญ่ยุครุ่งเรืองในอดีต เช่นประชาธิปัตย์ มีหัวหน้าพรรคชื่อชวน หลีกภัย เลขาธิการพรรคต้องเป็น เสธ.หนั่น-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
หรืออย่างพรรคเพื่อไทย หัวหน้าชื่อทักษิณ ชินวัตร เลขาธิการพรรคต้องชื่อ เสนาะ เทียนทอง
แม้พลังประชารัฐไม่ได้มีหัวหน้าพรรคชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลขาธิการพรรคชื่อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่การแบ่งงานกันทำในรัฐบาลลุงตู่ ได้ลอกแบบความยิ่งใหญ่ของพรรคการเมืองในอดีตมาใช้
“ลุงประยุทธ์” ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง
“ลุงป้อม” ทำอย่างหนึ่ง
“ลุงป๊อก” ก็ทำอีกอย่าง
วิธีการทำงานคนละแบบ แต่ “๓ ลุง ๓ ป.” เขาถึงกัน
ที่จริงมีการพูดเรื่อง “๓ ป.” แตกคอมาเป็นปีแล้ว แต่กลับไม่มีใครยืนยันได้ชัดเจนว่า ต่างคนต่างอยู่กันจริงหรือเปล่า
อย่างกรณีถีบ ๒๑ ส.ส.ออกจากพรรค ในทางการเมืองถือเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จู่ๆ เสียงรัฐบาลหายไป ๒๑ เสียง ในสภาวะที่รัฐบาลต้องเผชิญกับสารพัดปัญหา
ไม่ว่าจะเป็น โควิด สินค้าราคาแพง เศรษฐกิจฝืดเคือง
แต่กลับไม่เห็นรอยร้าวให้ทุบโต๊ะได้ว่า “๓ ป.” แตกคอกันแน่แล้ว
เพราะในความเป็นจริง “๓ ป.” กำลังสร้างสมดุลครั้งใหม่ในรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ
อาจเป็นเพราะรัฐบาลใกล้ครบเทอมมักจะเจอสถานการณ์ที่ท้าทาย
สถานการณ์ของ “ลุงตู่” ในขณะนี้ ภายนอกดูร่อแร่ แต่ข้างในกลับแข็งแกร่ง
ในสภา นอกสภา ล้มรัฐบาลยาก
และรัฐบาลผ่านจุดถูกโค่นมาแล้ว
กลับกัน มีแรงส่งจากการเดินทางไปเชื่อมสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ในรอบ ๓๒ ปี เป็นภารกิจที่ไม่มีรัฐบาลไหนทำได้
ประโยชน์ที่ได้จากความสัมพันธ์ครั้งใหม่หลักๆ ไม่ใช่เรื่องส่งคนงานไปซาอุฯ ไทยหมดยุคส่งออกแรงงานแล้วครับ
แต่เป็นเรื่องการลงทุนมหาศาลที่จะเข้ามาในไทย
ถ้า “ลุงตู่” อยู่ผ่านพ้นเดือนสิงหาคม ปลายปีไทยจะเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปก (APEC 2022) ก็จะเป็นอีกย่างก้าวสำคัญในการสร้างภาวะผู้นำสู่สายตาชาวโลก
ฉะนั้นอย่างที่บอก ถ้า “ลุงตู่” ผ่านเดือนสิงหาคมนี้ไปได้ เส้นทางการเมืองยาวไปถึง ๒๕๗๐
การจัดระเบียบในพลังประชารัฐ ณ ขณะนี้จึงจำเป็นต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และนี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมความสัมพันธ์ของ ๓ ป. ต้อง Forever
เพราะแตกเมื่อไหร่ก็จบครับ