นายกฯ ย้ำที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน มุ่งสู่ Next Normal พลิกโฉมประเทศไทย

22 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุซซาลาม เป็นประธานร่วมในการประชุม ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียน ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ชื่นชมบูรไนในฐานะประธาน ชื่นชมความคืบหน้าของความร่วมมือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพราะการเคารพซึ่งกันและกัน ร่วมรับมือกับความขัดแย้ง การพัฒนาที่เห็นชอบร่วมกันได้ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ร่วมรับมือกับความท้าทายวิกฤตการณ์ทางการเงิน เศรษฐกิจ และความท้าทายโควิด-19 ซึ่งการยึดมั่นการเรียนรู้ ระหว่างกันส่งเสริมกลไกที่จะทำให้อาเซียนมีบทบาทนำ ย้ำให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอันดับต้น สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน โดยประธานาธิบดีสีจิ้งผิง เสนอให้

1) ส่งเสริมสันติภาพร่วมกัน ผ่านการหารือและสร้างหุ้นส่วน จีนต่อต้านการใช้อำนาจเพื่อต่อต้านกันและกัน พร้อมสนับสนุนภูมิภาคอาเซียนที่ปลอดอาวุธนิวเคลียร์

2) สร้างภูมิภาคที่ปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข โดยจะสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติม และถ่ายทอดการผลิตวัคซีน การวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงให้ความช่วยเหลือในมิติอื่น ๆ เช่น การจัดการภัยพิบัติ อาชญากรรมข้ามชาติ และรักษาสันติภาพในทะเลจีนใต้

3) สร้างภูมิภาคที่ไพบูลย์ เปิดการเจรจาการพัฒนา การส่งเสริม RCEP โดยจีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นในอีก 5 ปี ข้างหน้า และขอให้สมาชิกอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมในระเบียงการค้า

4) สร้างภูมิภาคที่สวยงาม โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมที่จะจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด และความร่วมมือด้านทะเล

5) สร้างภูมิภาคที่มีมิตรภาพระหว่างกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ความร่วมมือของสตรี ความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา การส่งเสริมผู้นำรุ่นเยาว์ และความร่วมมือด้านกีฬา

ประธานาธิบดีจีนยังเน้นย้ำการธำรงความยุติธรรม ส่งเสริมประโยชน์ของประชาชน และดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งกระชับความร่วมมือระหว่างภูมิภาค ทำให้อาเซียน-จีน มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ กล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ครบครอบความสัมพันธ์ที่มีความหมายอย่างยิ่ง ในวันนี้เราได้ขยายความร่วมมือที่ครอบคลุมหลังจากที่มีความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ซึ่งจีนนับเป็นประเทศคู่ภาคีแรกที่ได้ร่วมกับอาเซียน และเป็นคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียน อีกทั้งยังให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในภูมิภาค ผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุข จึงขอขอบคุณความพยายามของจีนในการให้ช่วยเหลืออาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวแสดงความยินดีต่อวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ฯ ในฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน” ซึ่งจะขยายความร่วมมือ ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-จีนยังเป็นเสาหลักความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนร่วมกันของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงนามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea:DOC) เมื่อปี 2545 และล่าสุดในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้านในปีนี้ อีกทั้งการเป็นคู่ค้าสำคัญของกันและกัน และได้ร่วมกันต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนเป็นพัฒนาการสำคัญให้ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันแนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมชื่นชมความสำเร็จด้านการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างสังคมกินดีอยู่ดีอย่างรอบด้าน และการเป็นมหาอำนาจของโลกที่มีความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่นานาประเทศ รวมทั้งชื่นชมวิสัยทัศน์ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มุ่งสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ” แสดงถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะรับมือกับประเด็นท้าทายร่วมกัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาเซียนในการเสริมสร้างประชาคมที่เข้มแข็งและความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เผยถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้พร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และประเด็นท้าทายอื่น ๆ มุ่งสู่ Next Normal ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย โดยนำเสนอ 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. เน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาช่องว่างทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนบนหลักการของความสมดุลตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และอาเซียนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จของจีนในการขจัดความยากจน และความหิวโหย การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านนโยบาย “คลีนเพลท” ฟื้นฟูชนบทที่เน้นการกระจายความเจริญ โดยอาจพิจารณาส่งเสริมการทำการตลาดร่วมกัน รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของจีน ทั้งในอาเซียนและอนุภูมิภาค ผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งไทยจะเข้ารับตำแหน่งประธานร่วมกับจีนในปี 2565 และ ACMECS ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนสำคัญ

2. มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนทุกช่วงวัย ผ่านการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ MSME ผู้ประกอบการสตรี และกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับยุค 4IR และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยอาเซียน-จีนควรส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่ไปกับการเร่งสร้างสังคมดิจิทัลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในยุค Next Normal

3. การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่สร้างความสมดุลของสรรพสิ่งและความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งรวมถึงอาหาร พลังงาน และการทำนุบำรุงสิ่งแวดล้อม ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสานต่อบทบาทผลักดันความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสมดุลของสรรพสิ่งและความยั่งยืนอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เชื่อมโยงกันอย่างสมดุลของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โมเดลเศรษฐกิจ BCG และพร้อมจะยกระดับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเน้นย้ำความสำคัญของดุลยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางบนพื้นฐานของหลักการ 3 เอ็ม ซึ่งคือ Mutual Trust Mutual Respect และ Mutual Benefit เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูของทุกประเทศจากความบอบช้ำที่เกิดจากโควิด-19 และยืนยันเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของไทยเพื่อร่วมมือในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนของเราให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ซึ่งในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กล่าวตอบนายกรัฐมนตรีว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ประสานงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอาเซียน และจีนขอสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพเอเปคปีหน้า


Written By
More from pp
รมต.แรงงาน ส่งเลขาฯ เปิดงาน “EEC JOB EXPO 2023” เตรียมตำแหน่งงาน 14,000 อัตรา เพื่อคนชลบุรี
16 มิถุนายน 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงาน “EEC...
Read More
0 replies on “นายกฯ ย้ำที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน มุ่งสู่ Next Normal พลิกโฉมประเทศไทย”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
'); }); var ratingTotalIndicator = function() { var indicator = document.querySelectorAll('.rating-total-indicator'); if (typeof indicator === 'undefined' || indicator === null) { return; } for ( var i = 0, len = indicator.length; i 0 || bottom > 0) && top