ยุบสภา “๖๕ บ่ายๆ” ค่อยคิด – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

หายไปหลายวัน โผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋ท่าน…ชักเขิน!
ไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลมาน่ะครับ
หมอถามเป็นอะไร ร่องแร่งมากลางดึก-กลางดื่น?
ผมตอบอย่างที่จำมาจากพวกหนังขายยากลางแปลงเขาโฆษณา
เวียนหัว สวิงสวาย ใจเต้นริกๆ เหมือนไส้หลอดไฟฟ้าจะขาดมิขาดแหล่ หายใจออกได้ แต่แรงหายใจเข้ากะร่อย-กะหริบ

หมอเวรที่ถูกขุดจากที่นอน ฟังคงนึกในใจ
“ตายไปซะเลยก็สิ้นเรื่อง”!

เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละครับ ระยะเวลา ๒ เดือน ผมต้องฝ่าเคอร์ฟิวไปให้หมอที่โรงพยาบาลเป่าก้นให้ฟื้นกลางดึก ถึง ๒ ครั้งแล้ว

ก็ถือเป็นโชคอย่างหนึ่ง เพราะการเป็นอย่างนี้ ทำให้มีโอกาสได้รู้ความจริงว่าการ “อยู่” กับการ “ตาย” คือตัวเดียวกัน

ขณะเดียวกัน เป็นศูนย์ฝึกขั้นตอนการวางตำแหน่งจิตขณะเวทนาแรงกล้าให้ผมด้วย

ที่สำคัญสุด-ยากสุด ซึ่งยังไปไม่ถึงบทเรียนสุดท้ายนั้น ว่าคราถึงจริง จะวางจิตไว้ตรงไหน ระหว่างอัสสาสะ-ปัสสาสะสุดท้ายแห่งชีวิต?

เท่าที่สังเกตจากตัวเอง ในชีวิตเราทั้งหมด มีสิ่งเดียวในโลกที่มัดเราอยู่และร้อยทั้งร้อยคน “แก้กันไม่ออก” รวมทั้งผม
คือ “อุปาทาน”

อุปาทานคือ “ตัวยึด” บ้านกู รถถู ตำแหน่งกู ทรัพย์สมบัติกู ร่างกายกู ลูกเมียกู หมากู ที่ดินกู ธุรกิจแสนล้านกู หุ้นกู บริษัทกู

เนี่ย คนเรา เพราะยึดนี่แหละ ชีวิตจึงยุ่งยาก ถึงคราวตาย จิตจะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะสิ่งยึดเหนี่ยวรั้ง
พูดตรงๆ ตัวยึด คือ “ตัวถ่วง”

เสียดาย อาลัย-อาวรณ์ ไม่อยากตาย ไม่อยากพรัดพรากไปจากของที่รัก
พอจิตดับ คือตาย

“จิตก็ติดบ่วง” ไปไหนไม่รอด เหมือนติดกำไล EM ประมาณนั้น

คนเราน่ะ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องเกิดตามหลักปฎิจจสมุทบาทคือห่วงโซ่สัมพันธ์แห่งกรรม
ใน ๔ แบบนี้ ทุกคนเกิดในแบบใดแบบหนึ่งแน่

คือ เกิดในไข่ อย่างเป็ด ไก่ จิ้งจง เหี้ย ตะกวด งู ฯลฯ
เกิดในครรภ์ อย่างมนุษย์ ช้าง ม้า วัว ควาย หมา ฯลฯ

เกิดในเถ้าไคล อย่าง ยุง หนอน แมลง เชื้อโรค ฯลฯ
โอปปาติกะ เกิดเป็นตัวตนเลย พวกสัมภเวสี เทวดา สัตว์นรก ฯลฯ

พระพุทธเจ้าตรัสบอก เกิดที่ดีที่สุด คือ “เกิดเป็นมนุษย์”! เพราะมีแต่มนุษย์เท่านั้น สามารถบรรลุธรรมขั้น “เหนือโลก” ได้ ซึ่งเทพเทวาทั้งหมด-ทั้งมวลก็ยังไม่สามารถบรรลุโลกุตตรธรรมได้อย่างมนุษย์

ไม่ต้องดูอะไรมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต แต่เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จึงจุติจากสวรรค์ ลงสู่ครรภ์พระมารดาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ทรงพระนาม “สิทธัตถะราชกุมาร”

ที่เล่ามานี่ ร้อยละ ๙๙ ทราบกันแล้ว เพียงอยากแนะเคล็ดลับนิดหนึ่งว่า เมื่อถึงคราตาย ต้องตายให้เป็น

ถ้าตายเป็น จะไม่กลัวความตาย เผลอๆ บางคน อยากตายเร็วๆ ด้วยซ้ำ เพราะเลือกเกิดใหม่ตามแคตตาลอกได้ตามใจปรารถนา

อยากเกิดเป็นมนุษย์ รักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แน่นอน สวย รวย หล่อ ฉลาด ด้วย
อยากเป็นนายกฯ ด้วย จะทำไง?
ยิ่งง่ายใหญ่!

ถ้าเคร่งครัดในศีล ๕ จนได้เกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์แห่งศีลนั้น จะทำให้ผู้นั้นไหลขึ้นสถานเดียว ไม่มีตกต่ำ เพียงในภพปัจจุบัน มีหิริ ความละอายต่อบาป มีโอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป มีพรหมวิหาร ๔ ต่อเพื่อนมนุษย์

และการทำงานทุกชนิด ให้ประกอบด้วบ ธรรมนำไปสู่ความสำรวจตามมุ่งหมาย คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
เท่านี้แหละ ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มาแล้ว ๑ สมัยเลือกตั้ง

ถ้าต้องการเป็นต่อ ไม่ใช่อยากเป็นเพราะหลงอำนาจ
หากแต่ต้องการเป็น เพื่อใช้อำนาจนั้น….

ปฏิวัติเศรษฐกิจและสังคมชาติสู่ศตวรรษใหม่ตามที่วางรากฐานไว้ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ให้ไทยเป็น “ประเทศเศรษฐกิจอุตสากรรมนวัตกรรม”

ถ้าถึงพร้อมด้วยศีล ยึดมั่นในหิริ โอตตัปปะ และมีอิทธิบาท ๔ เป็นคราดไถเทียมใจมั่นคง
แบบนี้ละก็ ไปเลย…ลุงตู่-ไปโลด อีก ๔ ปี!

ผมเห็นพวกนิยายข่าวการเมือง เขียนบทไล่นายกฯ ติดต่อมา ๒-๓ ตอนแล้ว สนุกดีเหมือนฟังละครวิทยุคณะแก้วฟ้า เมือ ๕๐-๖๐ ปี ก่อน

๒-๓ สัปดาห์ก่อน เป็นตอน ๒ ป.แตกกัน พอไม่แตก เขียนบทใหม่ ป.ประยุทธ์ถูกคว่ำในสภาด้วยพปชร.บางส่วนจะไม่ผ่านพรก.เงินกู้ให้บ้าง

๒.ป.ลงพื้นที่  “วัดกำลัง” ใครจะมีสส.ถือหางมากกว่ากันบ้าง ตอนนี้ มาในบทใหม่ มีบางส่วนแยกจากพปชร.ไปตั้งพรรคกับบิ๊กฉิ่งไว้รองรับนายกฯ บ้าง

การลงพื้นที่น้ำท่วมของนายกฯ กับบิ๊กป้อมที่แยกกันเดินคนละทาง ถูกนำเข้ารหัสบ่างการเมืองถอดความออกมาว่า
เป็นสัญญาน “ยุบสภา” ต้นปีหน้า เตรียมลงพื้นที่หาเสียงกันได้แล้ว!

สรุปแล้ว ไก่ย่าง ๓ ป.โลโก้ ไม้เดียว “เสียบตูด ๓ ตัว” กำลังถูกสงครามข่าว “ฉีกตูด-แยกไม้”
ผมก็ชอบฟังนะ

อะไรๆ ที่เป็นเรื่องฉิบหายคนอื่น จริง-ไม่จริง ก็ไม่รู้หละ แต่ถ้าฟังแล้ว มันสนองตัณหาริษยาได้ละ สะใจดี

ตามเทอม…
รัฐบาลมี ๔ ปี นี่เพิ่งครึ่งเทอม คือ ๒ ปีกว่า จะเข้าปีที่ ๓ มีนา.ปีหน้า ตามหลักทั่วไป ถ้าบ้านเมืองปกติ รัฐบาลบริหารมาแล้ว ๓ ปี ถ้าผลงานดี คะแนนนิยมดี
จะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นเรื่องปกติ!

แต่ผมดูแล้ว นายกฯ ไม่ยุบสภาหรอก เว้นแต่ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลเขากระสัน โหวตคว่ำกฎหมายสำคัญๆ หวังขับไล่นายกฯ นั่นเป็นอีกเรื่อง

ถ้าตามฟอร์ม รัฐบาลจะอยู่ถึงพฤศจิกายบน ๒๕๖๕ โน่นแน่ะ!
ทั้งนี้ ผมพิเคราะห์บนฐาน “สำนึกแห่งความรับผิดชอบในหน้าที่” ของพลเอกประยุทธ์

เพราะ ๑.อยู่ในช่วงโควิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีสังคมจากเก่าสู่ใหม่

๒.โครงสร้างประเทศทั้งเศรษฐกิจ-อุตสากรรม-การคลัง กระทั่งระบบการเงิน อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ความแน่นอน-มั่นคง-เชื่อถือได้ ทั้งจากสัญญาเดิมและตัวผู้นำเดิม

๓.ทุกอย่างของความต่อเนื่องโครงสร้างงานและอำนาจ ถ้าขยับปรับเปลี่ยนตัวผู้นำ จะไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศได้

๔.อันนี้สำคัญที่มองข้าม หรือยังไม่ได้มองกัน คือ

ในปี พศ. ๒๕๖๕ หรือ 2022….
ไทยเป็นเจ้าภาพงานประชุมระดับโลก โดยจัดให้มีขึ้นในประเทศไทย

นั่นคือ การประชุม ว่าด้วย “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก” (APEC)

โดยจะเริ่มตั้งแต่ธันวา.๖๔ เรื่อยไปจนถึง พฤศจิกา ๖๕! -ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ๕ ครั้ง

-การประชุมระดับรัฐมนตรี ๙ ครั้ง และ
-การประชุมระดับผู้นำ ๑ ครั้ง

และยังมีการประชุม หรือกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมตามที่ส่วนราชการจะเป็นเจ้าภาพ

เช่น การจัดกิจกรรมสัปดาห์ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security Week) และการดำเนินโครงการโรงเรียนเครือข่ายเอเปก เป็นต้น

เอเปกไม่เกี่ยวกับสหประชาชาติ
มีสมาชิกรวม ๒๑ เขตเศรษฐกิจ ออสเตรเลีย, แคนาดา, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, ฮ่องกง, นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา, บรูไน อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, ไทย, จีนไทเป, ชิลี, เม็กซิโก, ปาปัวนิวกินี, เปรู, รัสเซีย, และเวียดนาม

ไทยเคยเป็นเจ้าภาพเอเปกครั้งหนึ่ง เมื่อปี พศ.๒๕๔๖ สมัยทักษิณ ร่วม ๒๐ ปี ผ่านไป ปี ๖๕ เรารับเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง
ต้องบอกว่า เป็นงาน “ระดับโลก” ถือเป็นหน้า-เป็นตาไทยเรามาก!

ผู้นำโลก อย่างโจ ไบเดน อย่างปูติน อย่าง สี จิ้น ผิง จะมาพบกันที่เมืองไทย ซึ่งยากนัก-ยากหนาที่โฟกัสโลก
จะอยู่ที่ “บางกอก-ไทยแลนด์”

เมื่อเป็นอย่างนี้ ด้วยสามัญสำนึกแห่งเรา ผู้เป็นเจ้าภาพทุกคน น่าจะตอบตัวเองได้ว่า
เราช่วยกัน “เตรียมบ้าน-เตรียมเมือง” รับแขกบ้าน-แขกเมือง “ระดับโลก” ก่อนดีไหม?

เรื่องอื่น ทะเลาะกัน ตีกัน มีเวลาเหลือเฟือ เมื่อไหร่ก็ได้ เฉพาะหน้านี้ จากปลายปี ยันพฤศจิกา.๖๕ เรา เรามารักสามัคคี ปรึกษาหารือกัน

ร่วมมือกันตกแต่งบ้านเมืองให้สวยงามสมนามไทยวิไลซ์ก่อนดีมั้ย?

ในมุมมองผมเห็นอย่างนี้
จึงไม่สนใจเรื่องแตกพรรค-พรรคแตก เรื่องยุบสภา-เลือกตั้งใหม่ เพราะมีงานใหญ่ที่คนไทยทุกคนคือเจ้าภาพต้องทำร่วมกันรออยู่

หรือใครคิดจะพังงานเหมือนคราวสุดยอดอาเซียนที่พัทยาก็ไม่รู้นะ?

 

Written By
More from plew
“ปฎิรูปตำรวจ” ถึงไหน? – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน กรณี “ผู้กำกับโจ้” นครสวรรค์ เป็นตัวอย่างสะท้อนถึง “ระบบตำรวจ” ปัจจุบัน คือแหล่ง “อำนาจอุปถัมภ์” ประเภท “รวยแบบชั่วๆ”...
Read More
0 replies on “ยุบสภา “๖๕ บ่ายๆ” ค่อยคิด – เปลว สีเงิน”