ผักกาดหอม
เป็นไงล่ะ
บอกแล้วว่า “ก้าวไกล” เล่นการเมืองแบบไม่มีพวก
ฉายเดี่ยวคืองานถนัด
ครับ…ฝ่ายค้านซักฟอกกันเอง ก่อนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มต้นขึ้น ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่การเมืองไทย
ไม่มียุคที่ฝ่ายค้านแอบแทงข้างหลังมากเท่ายุคนี้อีกแล้ว
ไปดูตัวญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจกันก่อน
“สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” นำทีมยื่นให้ประธานชวนไปแล้ว จับขึ้นเขียง ๖ คน
๑.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
๒.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
๓.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
๔.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
๕.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และ ๖.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ไม่ปลายเดือนนี้ ก็ต้นเดือนหน้า ไปว่ากันในสภาฯ
สำหรับข้อหาร้ายแรงเอาการทีเดียว
…พล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ
ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๓ จนถึงปัจจุบันกว่า ๑๙ เดือนเศษ พล.อ.ประยุทธ์ได้รวมศูนย์อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่กลับปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต
มีพฤติการณ์ฉ้อฉลทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติ ครม. และข้อสั่งการของตนในลักษณะกลืนน้ำลายตัวเอง
ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการป้องกันควบคุมการระบาดของโรคในหลายเรื่อง จนมีการแพร่ระบาดของโรคจากกลุ่มก้อนเล็กๆ กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็วจนยากที่จะควบคุม
ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลวเกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน ปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน
บางรายทนไม่ไหวต้องตายกลางถนน ตายในรถ หรือตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว สร้างความหดหู่ใจ
ถึงกับมีคำกล่าวว่าประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
การจัดหาวัคซีน ล่าช้า เลื่อนลอย ไม่แน่นอนว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนทางเลือกหรือไม่ การตรวจหาเชื้อก็ทำได้ในปริมาณน้อย มีมาตรการไม่แน่นอน
เครื่องมือในการตรวจหาเชื้อไม่เพียงพอ และการจัดหาเครื่องมือเป็นไปโดยทุจริต
มาตรการควบคุมโรคก็ไร้ทิศทาง ผิดเป้าหมาย และแผนงานไร้ประสิทธิภาพ ทั้งการล็อกดาวน์ และการสั่งปิดสถานประกอบการ จนส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมาก แต่กลับนำมาใช้จ่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่ลำดับความสำคัญของการใช้เงินงบประมาณที่หมดไปกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์รู้ดีว่าประเทศตกอยู่ในสงครามของโรคระบาด
ไม่ใช่สงครามของการสู้รบ
ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าวกลับพบว่า พล.อ.ประยุทธ์บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ในหลายเรื่อง
ทั้งการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติการณ์ปิดบังอำพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติ และไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด
อีกทั้งแอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน มีผลทำให้ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น
ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง พวกพ้อง และข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคโควิด-๑๙ อย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง ทั้งการทุจริตเกี่ยวกับการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า”
พฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตาย เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน โดยหวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชน
และเมื่อประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดกับประชาชน และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ยังลุแก่อำนาจ สั่งการให้ใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุตลอดมา
จนกล่าวได้ว่าประเทศกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง….
เอาแค่นี้พอ
ภาพรวมฝ่ายค้านพูดถูกหลายเรื่อง
โควิดระบาดหนัก ติดกันงอมเฉียดล้านคนเข้าไปทุกที
ผู้เสียชีวิตก็มากขึ้นทุกวัน
ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือเศรษฐกิจปากท้อง ประชาชนลำบากไปทั่ว
แต่มันก็เกิดขึ้นทั่วโลก
ต่อให้เพื่อไทยและฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลในตอนนี้ ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาได้พ้น
และไม่มีทางที่จะควานหาวัคซีน mRNA ได้มากกว่าที่รัฐบาลนี้หาอยู่
การทุจริตมีหรือไม่ ฝ่ายค้านต้องนำใบเสร็จมาโชว์ให้ได้
ก็ว่าไปตามลีลาการเมืองครับ พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตาย เหิมเกริม ฝ่ายค้านต้องแสดงให้เห็นจนไร้ข้อกังขา ไม่งั้นจะวนเข้าลูปเดิม
หรืออาจจะหนักกว่า เพราะพฤติการณ์ที่แท้จริงก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีข้อกังขาเรื่อง “ใบสั่ง”
แต่ “ใบสั่ง” มันแปลกตรงที่ มีคนสั่งห้ามแตะ “บิ๊กป้อม-ธรรมนัส”
นำมาซึ่งพรรคก้าวไกลออกอาการงอแง
เหตุเพราะพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐคุยกันรู้เรื่องมากกว่า
ครับ…ศึกซักฟอกเที่ยวนี้ต้องแยกประเด็นให้ดี
เนื้อหาการซักฟอก กับเกมต่อสายอนาคตทางการเมือง คือวงจรการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ “สุทิน คลังแสง” ให้เหตุผลการไม่มีชื่อ “บิ๊กป้อม” ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะ “ครั้งที่แล้วก็อภิปรายเขาแล้วทำอะไรไม่ได้”
ส่วน “ธรรมนัส” เพราะเพิ่งจะอภิปรายมา
และเขาได้ตอบแล้ว
ครั้งนี้ยังไม่มีอะไรใหม่!
คำตอบแบบนี้ในทางการเมืองยิ่งกว่าแทงกั๊ก
แค่ปรับเงื่อนไขเล็กน้อย โฉมหน้าการเมืองเปลี่ยนทันที