15 ส.ค.64 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในการรักษาความสงบเรียบร้อยกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่วันนี้จะมีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบจุดสำคัญทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ และแผนการปฏิบัติ โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)ที่ดูแลงานด้านความมั่นคง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.)และเจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร.เปิดเผยว่า วันนี้มาฟังแผนการปฏิบัตินในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการจัดการการชุมนุม และถือโอกาสมารับฟังปัญหาข้อขัดข้องและได้นำคำสั่งศาลแพ่งคดีหมายเลขดำ ที่ พ. 3683/2564 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 64 ที่ศาลได้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้ถือโอกาสมาทบทวนกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ซึ่งจริงๆเราทำอยู่แล้ว ทุกครั้งจะเห็นว่าก่อนจะใช้อุปกรณ์ในการควบคุมฝูงชนต่างๆ เราได้มีการประกาศเป็นขั้นเป็นตอน มีคนสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ขอเรียนว่าในช่วงนี้เราไม่ได้ใช้กฎหมาย พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ แต่เป็นช่วงที่เราใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด โดยเฉพาะปัจจุบันกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ประกาศควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามมีการจัดกิจกรรมชุมนุมหรือการรวมตัวที่อาจจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้
ถามว่าเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไรเราก็จะพยายามทำความเข้าใจว่า ในช่วงนี้ต้องขอให้ตระหนักถึงความสำคัญ ที่จะต้องป้องกันระบาดของโลกเพราะมีผลกระทบคนทั้งประเทศ เมื่อมีกฎหมายออกมา เจ้าหน้าที่อยู่เฉยไม่ได้เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะมองว่าเมื่อมีกฎหมายออกมาแล้วเราไม่ทำอะไรเลย แสดงถึงบ้านเมืองอยู่กันโดยไม่มีกฎกติกา ความเชื่อมั่นก็จะไม่มี ต่อไปถ้ามีการประกาศอะไรออกมาก็จะไม่มีใครสนใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นตามที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่พยายามจะควบคุมพื้นที่ก่อนที่จะมีการชุมนุมรวมหรือรวมตัวกัน แต่เราก็ทำภายใต้เหตุผลความจำเป็น และความพอเหมาะพอควรตามสถานการณ์ เราไม่อยากให้เกิดการปะทะหรือบาดเจ็บเกิดขึ้น แต่อย่างที่ทราบเราทำได้เท่าที่ไม่ให้เกิดอันตราย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยอีกว่า อย่างไรก็ตามการรักษาความสงบเรียบร้อยเราคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ คำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นในการใช้อุปกรณ์ ตามมาตรฐานสากล มาตรฐานสากลมีคนพูดเยอะ ผมเชื่อว่ามันเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถ้าลองไปเปิดยูทูปดูก็ได้ที่ต่างประเทศ จะเห็นว่าประเทศที่มีมาตรฐานเรื่องพวกนี้สูงๆอย่างเช่น ฝรั่งเศส เยอรมันอ เมริกา เวลาเจ้าหน้าที่เขาใช้กำลังความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมาย เมื่อเทียบกับเราแล้วเป็นอย่างไร ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่เราใช้ตามมาตรฐานสากล แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วเราใช้น้อยมาก และไม่ได้ทำแค่ตามมาตรฐานอย่างเดียวเราดูเรื่องกฎหมายเหตุผลความจำเป็นของสถานการณ์ ใช้โดยไม่เกินกว่าเหตุ ไม่เลือกปฏิบัติ
แต่จะเรียนว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร ระมัดระวังอย่างไรเมื่อถึงเวลาสถานการณ์เกิดความวุ่นวายมันยากที่จะไม่เกิดเหตุการณ์บาดเจ็บเกิดขึ้น จะเห็นว่าทุกครั้งการชุมนุม เจ้าหน้าที่บาดเจ็บทุกวัน เราไม่ต้องการให้เกิดเรื่องนี้กับประชาชน เราไม่ต้องการให้ประชาชนบาดเจ็บ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ อยากจะฝากไปยังทุกๆท่านที่เกี่ยวข้อง เราพยายามจะทำให้ดีที่สุด
ส่วนแนวทางการปฏิบัติของสื่อมวลชน ยังยืนยันว่า ต้องมีการกำหนดพื้นที่ความปลอดภัย ทุกคนสามารถเสนอข่าวได้ที่ไม่เป็นการกีดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่อยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย แต่ละพื้นที่ได้มอบนโยบายไปแล้วผู้บัญชาการพื้นที่เป็นคนพิจารณา เพราะถ้าไปอยู่ในแนวปะทะโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็เป็นไปได้ กรุณาช่วยกันเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมาถึงวันนี้ยังไม่ครบเดือน เจ้าหน้าที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดไปแล้ว 130 กว่าเรื่อง ไหนว่าการชุมนุมบางครั้งอาจจะดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้ มันไม่ใช่เรามีการดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ไม่เคยละทิ้งหรือเพิกเฉย
แต่คดีที่เกิดขึ้นที่จับไป 130 กว่าราย เกือบทั้งหมดได้รับการประกันตัวชั่วคราวจากศาล ไม่มากนักที่มีการควบคุมไว้ระหว่างการดำเนินคดีแค่นี้จบไม่ใช่ เพราะคดีมันยังเดินต่อไป การปล่อยตัวเป็นการปล่อยชั่วคราวระหว่างการดำเนินคดี มันก็ต้องไปถึงจุดสิ้นสุด ในชั้นตำรวจหรือจบที่ชั้นอัยการหรือจบที่ชั้นศาลแล้วแต่กรณี ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่เพื่อเฉยปล่อยให้ม็อบทำอะไรก็ได้ การดำเนินการมันต้องเดินไปตามกฎหมายข้ามขั้นตอนอะไรไม่ได้ เราทำไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม เราไม่ได้เลือกปฏิบัติ ดำเนินการไปตามกฎกติกา ใครที่ถูกจับถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ก็ต้องไปว่ากัน แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยเพิกเฉยดำเนินการทุกเรื่อง
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า อะไรที่เราเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องก็จะมีการทบทวน แต่ละเรื่องอันนั้นเบาไปอันนี้หนักไปต้องมาหาเหตุหาผลปรับปรุงการทำงาน และจะมีการติดตามสถานการณ์แบบนี้ทุกครั้งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลเอง เหนื่อยยากกับเรื่องแบบนี้ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า 1 ปีที่ผ่านมา มีการชุมนุม มีการดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคง มีเหตุพวกนี้เกินกว่า 2 พันกว่ากรรม เราต้องเสียกำลังพลในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน การควบคุมรักษาสงบความเรียบร้อย ถ้านับจำนวนนับไม่ถูกเพราะบางครั้งเราใช้กำลังเป็นหมื่นนาย เป็นงานที่สิ้นเปลืองกำลังพล ทรัพยากร ความคิดและทุกๆอย่าง แต่ที่ทำคือการรักษากติกาของบ้านเมือง
ผมได้บอกกับกำลังพลเราต้องดูแลคนของเราไม่ให้บาดเจ็บ ที่เราทำเราทำเพื่อรักษากติการักษาความสงบเรียบร้อย เราไม่ได้ทำตามอารมณ์ของใคร มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ มีทั้งเกลียดและประณาม แต่เราก็ต้องยึดกติกาไว้อย่าไปยึดตามเสียงเชียร์หรือเสียงประณาม ถ้าเราไม่รักษากติกาก็ไม่มีใครทำไม่มีใครรักษา เราจะพยายามดูแลความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นให้ได้ความสงบเรียบร้อยต้องมาก่อน ความปลอดภัยต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคนมันอาจจะไม่ได้ 100% แต่เราจะทำให้ดีที่สุด
