“สส.เพศที่สาม” ทวงสิทธิ์บวช?

โอ๊ค “พานทองแท้” ชินวัตร
วันนี้ (๒๕ พย.๖๒)………
จะมาฟังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ตัดสินในคดีร่วมกันและสมคบ “ฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย” หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?
ไงก็ สู้เค๊า โอ๊ค…เพื่อ “วงศ์ชินวัตร”
อย่าให้ “วงศ์จึงรุ่งเรืองกิจ” ของธนาธร เอาส้นเท้าคลึงหน้าได้เชียว!
ช่วงนี้ ไม่อยากคุยอะไรเครียด พอดีเห็นเขาลงข่าว ว่านาย…แต่จะเรียกนายหรือนาง ก็ให้กระดากนมแม่ยังไงไม่รู้
ข่าวว่างี้…..
“ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ นักการเมืองเพศที่สาม
โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @kru_tun ว่า
“หากกะเทยมีความศรัทธาในศาสนา ทำไมสังคมบางส่วนจึงมองว่า เป็นพระตุ๊ดพระแต๋ว และไม่เหมาะสม
ความศรัทธาทำไมจึงมีเรื่องเพศที่กำหนดการเข้าถึง มันไม่ควรจะเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่ใช่หรือ
#ธัญวัจน์ #พรรคอนาคตใหม่ #Spectrosynthesis2

ก็สงสารความไม่ประสาแล้วยังไม่ศึกษาของสส.เพศที่สามคนนี้
ต้องการขยายพื้นที่ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ”
จากศาสนาประจำพรรค
หวังรุกคืบเข้าไปในพุทธจักร อย่างนั้นหรือเปล่า?
ทุกวันนี้ ดูเหมือนพวกเธอใช้สิทธิมนุษยชน ลักษณะ “ได้คืบจะเอาศอก-ได้ศอกจะเอาวา” ออกจะเวอร์ๆ
ในกรอบใหญ่ เป็นสิทธชอบธรรม ไม่มีใครว่า ใครรังเกียจ-รังงอน ที่ใครอยากเป็นเพศอะไร
แต่ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ไม่ได้แปลว่า โลกไร้พรมแดน ไร้กฎ ไร้กติกา จะทำอะไรก็ได้ กูไม่แคร์เวิลด์นะจ๊ะ
ถามว่า……..
เวลาทารูจ ในเมื่อมันสวย ทำทาแค่ขอบปาก ไม่ทาลากยาวไปถึงกกหูเลยล่ะ?
เวลาเขียนคิ้ว ในเมื่อมันสวย ทำไมเขียนแค่วงคิ้ว ไม่ลากยาวขึ้นไปถึงกระโหลกเลยล่ะ?
คำตอบ คือ ทาแค่ขอบปากและแค่วงคิ้ว มันพอดีๆ เพื่อพอดี ความสวยงามมันก็เกิด
แต่ถ้ามากไป เลยพอดี เลยกรอบอันควร จากที่สวย ก็กลายเป็นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
อย่างอนาคตใหม่ มี ๓ นิ้วแห่ง เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ ลอกกากปฏิวัติฝรั่งเศสมาเป็นหัวใจพรรค
แต่หมู หมา กา ไก่ ใครๆ ก็ใช่จะเดินเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคได้ตามใจชอบใช่มั้ยล่ะ?
ในเสรีภาพ ภราดรภาพของเธอ ยังมีกฎระเบียบ ข้อบังคับ ที่ผู้สมัครต้องพร้อมจะยอมรับในกฎนั้นก่อนด้วย
ถึงยอมรับ ก็ยังต้องรอให้ผู้บริหารพรรคพิจารณาก่อนว่า จะรับ-ไม่รับ จริงไหม?
ในการบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน
มี “พระวินัย” เป็นกรอบกฎอยู่
ใช่ว่า กูเป็นคน มีเสรีภาพ อยากบวช ก็จะบวชได้เลย
พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา
คำสอนพุทธองค์ คือธรรม หมายถึงธรรมชาติ ดังนั้น จึงเป็นสากล ที่มนุษย์ อมนุษย์ เข้าถึงได้
เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม พราหมณ์ ผี ไม่เพียงพุทธ ถ้ามีปัญญา ทุกคนนำหลักพุทธ “หลักธรรมชาติ” ไปประยุกต์ใช้ได้
แต่ถ้าจะบวชเป็นพุทธบุตร ทำหน้าที่สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เคร่งครัดวัตรปฏิบัติ ศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็นเนื้อนาบุญประเสริฐของโลก
ต้องยอมรับกฎระเบียบ และต้องมีคุณสมบัติครบตามพระวินัยและอยู่ในกฎเกณฑ์ด้วย จึงจะบวชได้
ตอนขอบวช พระคู่สวดจะถาม….
มีอาการครบ ๓๒ มั้ย เป็นมนุษย์หรือเปล่า เป็นบุรุษหรือเปล่า เป็นโรคนั้น-นี้ ซึ่งต้องห้ามบวชหรือไม่
อีกหลายข้อ แค่ในข้อ “ปุริโสสิ๊” เป็นผู้ชายหรือเปล่า? ข้อนี้ ข้อเดียว พวก “บัณเฑาะก์” ก็ตอบตัวเองได้แล้วว่า บวชได้หรือบวชไม่ได้
“บัณเฑาะก์” คือคนประเภทไหน?
พระมหาสมเจต สมจารี (หลวงกัน) ค้นคว้าและเรียบเรียง “บัณเฑาะก์กับการบรรลุธรรมขั้นสูงในพุทธศาสนาเถรวาท” ไว้ในวารสาร “ศึกษาศาสตร์ มมร”
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๒ กรกฎาคม –ธันวาคม ๒๕๕๙ ตอนหนึ่ง ว่า
ความหมายของบัณเฑาะก์
คำว่า บัณเฑาะก์ เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกกันในทางพระพุทธศาสนา
หมายถึง บุคคลที่มีความผิดปกติในเรื่องเพศ ทั้งอวัยวะเพศ และความต้องการทางเพศ
เรียกได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รวมไปถึงพวกอมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานด้วย (วิ.มหา.1/38/50)
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ให้ความหมายไว้ว่า
“คำว่า บัณเฑาะก์ ยากที่จะเข้าใจว่า เป็นคนชนิดไร ตามความบาลีและอรรถกถาว่า
ได้แก่ ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกรีตในทางเสพกาม และยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น,ชายผู้ถูกตอน และกะเทยโดยกำเนิด”
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)ได้ให้ความหมายไว้ว่า
“บัณเฑาะก์ คือ กะเทย, คนที่ไม่ปรากฏว่าเป็นเพศชาย หรือเพศหญิง
ได้แก่ กะเทยโดยกำเนิด, ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่า ขันที, ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกรีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น”
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ได้ให้ความหมายจากศัพท์บาลีว่า
ปณฺฑก หมายถึงบัณเฑาะก์, กะเทย, ขันที
และได้วิเคราะห์ศัพท์ไว้ว่า ………..
“ปณตีติ ปณฺฑโก” ผู้เปลี่ยน คือ มีเพศเปลี่ยนไป (ผู้ใด ย่อมเปลี่ยนไป เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า บัณเฑาะก์),
ปณ ธาตุ ในความหมายว่า แลก, เปลี่ยน
สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “บัณเฑาะก์” ได้แก่ ชายที่ถูกตอน (ที่ห้ามบวช)
บัณเฑาะก์ ๕ ประเภท
คำว่าบัณเฑาะก์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น ท่านได้แยกเป็นประเภทออกไปอย่างชัดเจน ว่ามีกี่ประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคนที่มีความผิดปกติจากเพศของตนเองในสมัยนั้น
ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นภาพคนที่มีความผิดปกติจากเพศในปัจจุบันนี้ได้ตรงกันอีกด้วย
ในพระวินัยปิฎก ท่านกล่าวไว้ ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เราเท่านั้นที่เป็นบัณเฑาะก์
ยังได้กล่าวรวมไปถึงอมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานด้วย โดยแบ่งเป็น ๓ จำพวก
คือ ๑.มนุษย์บัณเฑาะก์ ๒.อมนุษย์บัณเฑาะก์ ๓.สัตว์เดรัจฉานบัณเฑาะก์ (วิ.มหา.1/38/50)
บัณเฑาะก์ทั้ง ๓ จำพวกนี้ ………..
มนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือมนุษย์ที่เป็นคนเราธรรมดานี้เอง ทั้งเพศชายและเพศหญิง
อมนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือ พวกที่ไม่ใช่มนุษย์ ได้แก่ พวกเทวดา เปรต อสุรกาย เป็นต้น และ
เดรัจฉานบัณเฑาะก์ ก็คือ พวกสัตว์ทุกชนิด ทั้งหมดนี้มีโอกาสเป็นบัณเฑาะก์ได้ทั้งนั้น
ในคัมภีร์อรรถกถาสมันตปาสาทิกา ภาคที่ ๓ พระอรรถกถาจารย์ ได้กล่าวถึงบัณเฑาะก์ไว้ ๕ ประเภท ปรากฏตามความในภาษาบาลีดังนี้
“ปณฺฑโก ภิกฺขเวติเอตฺถ อาสิตฺตปณฺฑโก อุสุยฺยปณฺฑ
โก โอปกฺกมิยปณฺฑโก ปกฺขปณฺฑโก นปุสกปณฺฑโกติปญฺจ ปณฺฑกา ฯ
แปลถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า บัณเฑาะก์ มี ๕ ประเภท คือ
๑.อาสิตตบัณเฑาะก์
ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ใช้ปากอมองคชาตของคนอื่น แล้วดื่มกินน้ำอสุจิ หรือให้้ำอสุจิรดตัว
บัณเฑาะก์ประเภทนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าพวกรักร่วมเพศ ได้แก่ คนที่ฝ่ายโลกเรียกว่า กะเทย และเกย์นั่นเอง
๒.อุสุยยบัณเฑาะก์
ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ชอบแอบดูอวัยวะของคนอื่น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นพวกกามวิตถารประเภทหนึ่ง
คือ มีความผิดปกติทางอารมณ์และแรงดันเพศ เป็นเหตุให้บุคคลต้องกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศออกไปในลักษณะที่คนปกติเขาไม่ทำกัน
เช่น มักชอบแอบดูคนอื่นเปลื้องเสื้อผ้า เปลือยกายอาบน้ำ เป็นต้น
๓.ปักขบัณเฑาะก์
เป็นบัณเฑาะก์ที่ความผิดแปลกเป็นอย่างมาก
คือ จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายเป็นช่วง ๆ ท่านกล่าวว่า จะเป็นบัณเฑาะก์เฉพาะข้างแรม (กาฬปักข์)
คือ จะเป็นช่วงเวลาที่มีความผิดปกติของร่างกายเกิดขึ้น อารมณ์เพศก็จะเกิดขึ้นด้วย แต่พอถึงข้างขึ้นก็จะหายไป
๔.โอปักกมิยบัณเฑาะก์
เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามที่เปลี่ยนเพศที่ตนเองเป็นอยู่ เพราะไม่ต้องการเพศเดิม
หรืออีกประการหนึ่ง
เป็นกลุ่มคนที่มีความตั้งใจที่จะไม่เอาเพศเดิมไว้ โดยการตอน (ให้ใช้การไม่ได้) หรือตัดทิ้ง
เช่น พวกขันที คือ คนที่ถูกตัดหรือทำลายลูกอัณฑะออก ก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์เพื่อไม่ให้มีลูก
ดังนั้น ลักษณะทางเพศ จึงไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ทำให้ขาดการแตกเนื้อหนุ่ม จึงมีลักษณะคล้ายผู้หญิง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ ไม่มีการสร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศ
๕.นปุงสกบัณเฑาะก์
คือ คนที่เกิดมาแล้วไม่มีเพศปรากฏออกมาเลยว่าเป็นเพศชายหรือหญิงตั้งแต่กำเนิด มีแต่เพียงช่องสำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น (วิ.อ.3/87)
จากข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้ารวบรวมมานี้ ก็สามารถที่จะอธิบายเชื่อมโยงปรากฏการณ์ของบัณเฑาะก์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับบัณเฑาะก์กับฝ่ายโลกนั้น
ถือได้ว่า ใกล้เคียง หรือบางประเภทก็ ตรงกัน
เพราะลักษณะอาการของบัณเฑาะก์ที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้นานแล้ว นั้น
บัดนี้ ก็ยังปรากฏมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ได้อยู่เป็นจำนวนมากและบัณเฑาะก์ทั้ง ๕ ประเภทนี้
ถึงแม้ว่าดูจะมีพฤติกรรมออกไปในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อพระธรรมวินัยได้ง่าย
แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้บวชไปเสียทั้งหมด เพราะมีบัณเฑาะก์บางประเภท ……..
พระองค์ก็อนุญาตให้บวชได้ (แต่ท่านใช้คำว่าบรรพชา)
ดังข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา สมันตปาสาทิกาภาคที่ ๓ ว่า ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น
อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา
๓ ชนิด นอกนี้ห้าม
แม้ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนั้น สำหรับปักขะบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขา เฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น (วิ.อ.3/88)
จากข้อความเบื้องต้นทำให้ทราบได้ว่า บัณเฑาะก์สองประเภทแรกสามารถที่จะบรรพชาเป็นสามเณรได้ตามพระวินัย
ครับ…เป็นไง
“สส.เพศที่สาม” ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” พอเข้าใจนะ ประเภท “รักร่วมเพศ” กับ “กามวิตถาร” บวชเณร พอได้
ส่วนอีก ๓ ประเภท โดยเฉพาะพวก “ตัด-เติม-เสริม-เฉาะ” ให้ผิดจากเพศกำเนิด บวชไม่ได้ทั้งเณร-ทั้งพระ
แล้วคุณเธออยู่ในประเภทไหนล่ะจ๊ะ?

Written By
More from plew
“ไม่ต้องทำดี-คิดดีก็พอ”
“พระเจ้าองค์ใหม่” ถ้าจะมี ไม่ใช่ “ไอที” หรอก “โควิด” นี่แหละ คือ “พระเจ้าผู้บันดาล” สู่สังคมโลกใหม่ “ศตวรรษที่ ๒๑”...
Read More
0 replies on ““สส.เพศที่สาม” ทวงสิทธิ์บวช?”