เปลว สีเงิน
ผมว่านะ….
บางทีเราก็ใช้คำกันเกินเหตุ เช่น “กรุงเทพฯ แตกแล้ว”
ป่วยโควิด “ล้นโรงพยาบาล” แล้ว
ทุกโรงพยาบาล “ไม่รับ” คนป่วยแล้ว
ต้องตัดสินใจเลือก”จะเอาใครอยู่-ใครไป” แล้ว
ต้อง “ล็อกดาวน์” กรุงเทพฯ แล้ว เหล่านี้ เป็นต้น
ถ้าถามว่า มันเกินสภาพจริงมั้ย?
อาจเกิน “ในความรู้สึก” เฉพาะคน แต่ภาพรวมในสถานการณ์เป็นจริง มันไม่ถึงขนาดนั้น
การสื่อสารเชิงดรามาแบบนั้น จะทางบางโรงพยาบาลเอง ทางรัฐบาลเอง หรือทางสื่อประดิษฐ์คำกันเองก็ตาม
ถ้าเลวร้ายถึงขั้นนั้นจริง ถามว่า แล้วการพูดเช่นนั้น มันช่วยให้ความเลวร้ายคลี่คลายลงมั้ย?
หรือกลับช่วยสร้างบรรยากาศและทัศนคติเลวร้ายซ้ำเติม สู่ความตื่นตระหนก ระส่ำ-ระสาย กับสังคมรวมมากขึ้น?
คิดดูซิ….
เมื่อคำเหล่านี้ เป็นข่าวออกไปทั่วโลกว่า “ล็อกดาวน์บางกอก” ภาพในความเข้าใจคนทั้งโลก ก็คือ
ประเทศไทย “ปิดประเทศ”
รัฐบาล การแพทย์-การสาธารณสุขไทย ล้มเหลว สูญสิ้นสภาพที่จะรับมือโควิดแล้ว
ซึ่งความเป็นจริง มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ด้วยคำอย่างนั้น มันทำให้ทุกอย่าง “พังไปหมดทันที”
เครดิตวงการแพทย์ไทยที่โลกเคยเชื่อมั่น หมดเลย เลิกพูดเรื่องเปิดประเทศ เรื่องการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะที่ไทยกำลังปลุกปั้น “เมดิคอล ฮับ” เลิกไปเลย!
จะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ ใช้เวลาอีกกี่ปี กู้ภาพลักษณ์ประเทศและความเชื่อมั่นในสาธารณสุขไทยให้กลับคืนมา?
เมื่อ “ห่าลง” ปีระกา พศ.๒๓๙๒
คนไทยตอนนั้น มียังไม่ถึง ๑๐ ล้านคนด้วยซ้ำ ป่วยไม่ต้องพูดถึง เอาที่ตาย ก็๔ หมื่นกว่า
ตอนนี้ คนไทยร่วม ๗๐ ล้าน ถ้ารวม “คนนอกชาติ” ด้วย ไม่ปาไปร้อยล้านแล้วเรอะ แต่ ๒ ปี สูญเสียแค่หลักร้อย-หลักพัน
ก็ชัดเจนว่า การแพทย์-การสาธารณสุข การบริหารปัญหาของรัฐบาล ประสิทธิภาพด้วยขีดศักยภาพขั้นสูง
อย่าใช้ “ตัวเลข” ป่วย-ตายเฉพาะของตัวเองชี้ขาดสำเร็จ-ล้มเหลว ต้องมองถึงเหตุปัจจัย และมองรอบบ้าน-รอบโลก ว่าอะไรมันกำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้?
ไม่ใช่ บ้านอื่น-เมืองอื่น “ดีหมด” มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น “เลวหมด”!
ระบาดทั้งโลก “สหรัฐฯ ตายแล้ว ๖ แสนกว่า อังกฤษ-ฝรั่งเศส แสนกว่า รัสเซีย แสนกว่า ผลิตวัคซีนได้เอง-ใช้เองทั้งนั้น ยังผล็อยๆเป็นใบไม้ร่วง
ไทยเรา โลกมองด้วยอิจฉา ด้วยศักยภาพสาธารณสุขไทย แพทย์-พยาบาล รับมือภาวะ “สงครามโรคล้างโลก” ได้ขนาดนี้
มัน “เหนือคาดหมาย” ชาวโลกแล้วด้วยซ้ำ!
“นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร” ผู้นำบริหารสถานการณ์โควิด-19 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข และนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค
ตัดสินใจ “ถูกแล้ว” เมื่อวาน(๒๕ มิย.๖๔) ที่ไม่ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ!
“ปิดเฉพาะจุด” ที่โควิดกระจุก
แทนการ “ปิดทั้งกรุงเทพฯ” อย่างที่มีคนเสนอ
ตรงนี้ แสดงว่าท่านบริหารด้วยข้อมูล-ข้อเท็จจริงตรงตามปัญหา แล้วตัดสินใจด้วยวิจารณญานรับผิดชอบรอบด้าน
ก็รู้กันอยู่-เห็นกันอยู่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแต่เพิ่ม-ไม่ลด ว่าต้นเหตุมันมาจากไหน?
คุณหมออภิสมัย ศรีรังสรรค์ ก็ดี คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ก็ดี แถลงทุกวัน ว่าแต่ละคลัสเตอร์ว่า
มาจาก “กลุ่มโรงงานและกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้าง”
ส่วนตามตลาด ตามชุมชน ตามโรงเรียน และลุกลามไปทั่ว นั่นเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “ต้นตอ” ของแหล่งนั้น
ฉะนั้น ถ้าจะเอากันจริง เอาให้เด็ดขาดเป็นตัวอย่าง
“ขนแรงงานเถื่อน” เข้ามา
จับได้ “ยิงเป้า” ให้เห็นเป็นตัวอย่างไปเลย!
บริษัทไหน โรงงานไหน รับแรงงานเถื่อนที่ลักลอบขนเข้ามา “ยึดใบอนุญาต”
และปรับเงินเข้าหลวง “หัวละ ๑ ล้าน” ไปเลย!
ก็ไม่เพราะ “ปากว่า-ตาขยิบ” คนระบบรัฐ “บางพวก” หากินกับแก๊งขนแรงงานเถื่อนป้อนโรงงาน ป้อนบริษัทก่อสร้างดอกหรือ?
ถึงได้ขนกันทุกวัน มีข่าวทุกวัน จับทุกวัน แต่ไม่มีใครเข็ดหลาบ เพราะ “จับแล้วจบ” เงียบหาย
ที่ขนๆ กันมา ไปไหนไม่รู้ คนที่ถูกจับ ก็แค่ “คนขับรถ”
เคยสอบเค้นไปถึง “ตัวการ” ค้าแรงงานเถื่อน แล้วไปลากคอมันมาประจานให้เห็นบ้างมั้ย ….
ว่าไอ้คนเห็นแก่ได้ บ่อนทำลายชาติแบบนี้ มันใคร พวกไหน หน้าตามันเป็นยังไง?
หรือ…กูได้ค่าหัวด้วย หัวละหมื่น-หัวละห้าพัน ตุนไว้ตั้งพรรค พวกแก๊งค้าแรงงานเถื่อนถึงไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ขนาดนี้แล้ว ยังขนเข้ามาป้อนโรงงานและบริษัทก่อสร้าง ถึงในกรุงและชานกรุง จนเกิดคลัสเตอร์ตำตาขณะนี้
ยิ่งค้นจับแรงงานเถื่อน ก็ยิ่งได้
ไม่ใช่ได้คนเถื่อนนะ หากแต่ได้ “เงินเถื่อน”!
พวกเชื้ออินเดีย เชื้อแอฟริกาใต้ ถึงได้เข้ามากลายพันธุ์ไว ก็ขนเข้ามาพรึ่บๆ ทั้งทางใต้ ทางเหนือ ทางตะวันออก ทางอีสาน และทางตะวันตก อย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ
อยางนี้ “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”
ลองให้ “ธรรมนัส” เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยดูซิ
ถ้าทะลายแก๊งขนแรงงานเถื่อนไม่ได้ ปลดทั้งรัฐมนตรี ทั้งเลขาฯ พรรค แล้วให้ไปสมัครเป็นผู้ว่ากทม.โน่นเลย
มีอย่างที่ไหน กรุงเทพฯ คือไข่แดง…..
ส่วนเหนือ-ใต้-ออก-ตก ร่วมพันบ้าง เป็นพันบ้าง เป็นร้อยกิโลบ้าง เป็นไข่ขาวอยู่รอบนอก
แต่แรงงานเถื่อนเข้ามาเป็นคลัสเตอร์ “แพร่เชื้อ” กลางไข่แดง จนเกิดคำว่า “กรุงเทพฯ แตก” โดยไม่มีหมา-มีแมวซักตัว รู้ร้อน-รู้หนาว
มันจะได้ยังไง แบบนี้ หือ!?
การ “ล็อกดาวน์” กรุงเทพฯ น่ะ มันพูดง่าย แต่ผลที่ตามมา ไม่แค่เศรษฐกิจ-วงจรชีวิตผู้คนพัง หากแต่จะวินาศสันตะโรไปทั้งหมด ในความเป็นโกลบอล
คณะบริหารสถานการณ์โควิด ตัดสินใจถูกแล้ว ที่มะเร็งจุดไหน คีโมจุดนั้น ไม่ใช่ฉายแสงไปทั้งตัว จนเซลล์อื่นๆ ตายไปด้วยทั้งหมด
เตียงว่าง มี, แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ มี, ห้องความดันลบ มี,ห้องไอซียู มี
ถ้ามีสติ และถอดกระบังตา
ปัญหามัน “เฉพาะกรุงเทพ” เท่านั้นหรอก โจทย์คือ ถ้าปิดกรุงเทพฯ ๗ วัน หรือ ๑ เดือน เท่ากับ “ปิดทั้งประเทศ”
จะต้องใช้เงิน “กี่หมื่นล้าน-กี่แสนล้าน” ถึงจะพยุงชีวิตชาวบ้านและผู้ประกอบการให้กระแหม็บๆได้ ทั้งที่การทำอย่างนั้น ไม่เกิดผลบวก “รูปธรรมถาวร” ใดๆ เลย?
เอาเงินเป็นหมื่น-เป็นแสนล้านนี้ มาคิดใหม่ในมุมกลับว่า เราจะใช้มันคลี่คลายปัญหา “ป่วยล้นเตียง” และบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน ได้ด้วยวิธีไหน
โดยไม่ต้อง “ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ” ซ้ำเกิดประโยชน์เป็นรูปธรรมคุ้มค่า?
ก็จะเห็นทันที……
แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์เรามี โรงพยาบาลเอกชนเรามี สถานที่สร้างโรงพยาบาลสนามมี
ศักยภาพด้านต่างๆ เรามี
ขอเพียงมีศรัทธากระทำ ทรัพยากรด้านต่างๆ ในประเทศของเรามากมาย
เพียงประกาศเปิดรับ “อาสาสมัคร” และโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการออกไปเท่านั้น
ไม่เกิน ๑๕ วัน ปัญหาเตียงไม่มี ป่วยล้นโรงพยาบาลนอนตายคาบ้าน จะหมดไป
เพียงมีทิศทางชัดเจน เมื่อประกาศออกไป คนมีความหวัง ไม่เวิ้งว้าง ก็แทบหายป่วยแล้ว
“หมอเหรียญทอง” ท่านยังสร้างโรงพยาบาลสนามได้ สาธารณสุขก็มีโรงพยาบาลบุษราคัมที่เมืองทอง หมื่นคนก็ยังรับไหว ต่อสัญญาเช่าเขาไป ไม่เห็นแปลก
กทม.ความจริงเป็นผู้รับผิดชอบปัญหานี้ มี ๕๐ เขต เมื่อเกิดคลัสเตอร์ ไม่รู้เลยหรือว่า ….
จะบริหารปัญหาในเขตพื้นที่ตรงนั้นแบบไหน อย่างไร?
ถ้าปิดกรุงเทพฯ แล้วโควิดมันหาย ไม่มีระบาดต่อไป ปิดเลย ทั้งปียังไหว ทุกคนยินดี
แต่ข้อเท็จจริงคือ โควิดมันจะอยู่กับโลก กับมนุษย์ กับทุกพื้นที่ในโลก รวมทั้งไทย นิรันดร
ดังนั้น ในเมื่อหนีมันไม่ได้ มันต้องอยู่กับเรา เหมือนโรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรดไข้เลือดออก โรคมะเร็ง โรคเอดส์
เราก็ต้องอยู่แบบ “เผชิญความจริง”
โทษหมอ, โทษรัฐบาล, โทษตัวเอง ป่วยการทั้งนั้น ประชาธิปไตยยังอภิวัฒน์เลย แล้วโควิดมันจะอภิวัฒน์บ้างไม่ได้หรือไง
รุ่นใหม่ “NO แมสก์” คือประชาธิปไตย ไม่น่าโง่เลย!
?