เปลว สีเงิน
เห็น “นพ.บุญ วนาสิน” ประธาน “ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” ออกโทรทัศน์ช่องเนชั่น เที่ยงวาน (๒๓ มิย.)
ฉอดๆ เรื่องจัดหาวัคซีนทางเลือกและเศรษฐกิจแบบเมามัน ใจร้องถามขึ้นมาเองว่า
“อีกแล้วหรือ…คุณหมอ เห็นหลบหน้าไปตั้งนาน?”
ก็เมื่อพฤษภา.ที่ผ่านมา ลืมไปแล้วหรือ
คุณหมอนั่นแหละ ให้สัมภาษณ์ Inside Thailand ถึงการนำเข้า “วัคซีนทางเลือก” สำหรับโรงพยาบาลเอกชน ผ่านทางองค์การเภสัชกรรม
“การนำเข้าวัคซีนของโมเดอร์นา องค์การเภสัชฯ จะซื้อก่อน ทุกคนจะต้องไปซื้อที่องค์การฯ นี้ คิดค่าบริการ ๑๐ %”
ร้อนถึง “นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์” ผอ.องค์การเภสัชกรรม ต้องออกมาชี้แจง
“องค์การเภสัชกรรม เป็นเพียงหน่วยงานอำนวยความสะดวกในการซื้อวัคซีนให้โรงพยาบาลเอกชน
มีเพียงค่าดำเนินการต่างๆ อาทิ ค่าจัดเก็บ ค่าจัดส่ง ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ประมาณร้อยละ ๓-๕ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ ๗ เท่านั้น”
องค์การเภสัชฯยืนยันอย่างนี้แล้ว หมอบุญว่าไง รู้มั้ย?
ก็นี่ไง….
“นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์” ประธานบริหาร และ “นลิน วนาสิน” กรรมการบริหาร “บริษัท ธนบุรีเฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
ต้องทำหนังสือ “กราบขออภัย” ทันที
ตามที่มีข่าวปรากฎในสื่อบางสำนัก ที่นายแพทย์บุญ วนาสิน ได้กล่าวพาดพิงถึงการจัดการวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม (GPO) ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
บริษัท ธนบุรีเฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ขอเรียนชี้แจงว่า ทางบริษัทฯรู้สึกเสียใจ ที่ข้อความดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์การเภสัชกรรม
บริษัทฯ จึงกราบขออภัยมา ณ ที่นี้
และขอเรียนว่า มิได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์การเภสัชกรรม แต่อย่างใด
เนี่ย….
ก็ยกให้ดู เพียงจะบอกว่า
คนพูดเป็น “ตัวบุคคล” ชื่อ นายแพทย์บุญ วนาสิน
แต่เมื่อที่พูดนั้นคลาดเคลื่อน คนเสียใจและต้อง “กราบขออภัย” กลับเป็น “นิติบุคคล”
แล้วคนพูด “ตัวเป็นๆ” หายไปไหน?
ทำไมไม่ออกมา “กราบขออภัย” องค์การเภสัชฯด้วยตัวเอง เหมือนตอนที่พูด
ก็ไม่ผิดอะไร เพียงอยากสะท้อนให้เห็นว่า นายแพทย์บุญมีความรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเองและกล้าเผชิญความจริงขนาดไหนเท่านั้น
และจากนั้นเรื่อยมา ก็ไม่เห็นหมอบุญออกมาไล่รัฐบาลและพูดเรื่อง “วัคซีนทางเลือก” ทางพาณิชย์ ตามหน้าจออีก
นี่คงหายเขิน ความละอายละลายแล้วนั่นแหละ เมื่อวาน จึงออกมาน้ำไหลไฟดับอีก
ขนาดผู้จัดรายการบอก “หมดเวลาแล้วคุณหมอ” ยังไม่ยอมหยุด น้ำลายแตกคอได้แบบนี้ น่าไปเป็นสส.
จะได้ “จวกนายกฯ” ตามใจชอบไงล่ะ!
หมอบุญนั้น นอกจากเก่งทางหมอแล้ว คนในวงการธุรกิจพาณิชย์ สรรเสริญมาเป็นสิบ-ยี่สิบปีแล้ว ว่า
เป็น “มนุษย์ร้อยโปรเจ็กต์”!
กล่าวขานกันถึงขั้นว่า เวลาคุณหมอคุย วาจาน่าเชื่อถือ ระดับ “ลิงตกต้นไม้” ขนาดนั้นเลย!!!
ก็เอาละ ไม่มีอะไร เห็นแล้วอด “ท้าวความถึง” ไม่ได้เท่านั้น เรื่อง “โควิดกับวัคซีน” ในภาวะ “อุบัติใหม่” นั้น เป็นปัญหาโลกแตก ถกเถียงกันตอนนี้
ทำนอง “ไก่เกิดก่อนไข่” หรือ “ไข่เกิดก่อนไก่”!?
คนระดับผมนั้น เมื่อต้องการ ก็จะ “เอาแต่ใจ” เป็นที่ตั้ง ค้ำคอตะคอกรัฐบาลว่า
ทำไมจัดหาวัคซีนช้า…ทำไมวัคซีนยังไม่มา…ทำไมเขาได้ฉีดแต่เรายังไม่ได้…ทำไมไม่รีบจัดหามาแต่ต้น…ทำไมมีแค่ ๒ ชนิด ทำไมไม่สั่งมาหลายๆ ชนิดให้เลือก ฯลฯ
คำถามอย่างนี้ สามัญระดับผม พอเข้าใจได้ แต่ระดับนายแพทย์ พูดแต่ละครั้ง เหมือนคนไม่ประสา ไม่รู้ว่า วัคซีนกระตุ้นภูมิต้านโควิดนั้น มันยังไม่มีมาก่อน
ต่อเมื่อโควิดมา วัคซีนนี้จึงมี
และมีแบบ “ฉุกเฉิน-เฉพาะกิจ” ทั้งโลกผลิตกันได้ไม่กี่เจ้า
ในขณะที่ คนทั้งโลก “กว่า ๖ พันล้านคน”
ต้องการและรอคอย!
ฉะนั้น ที่ว่า ทำไมสั่งช้า ทำไมไม่รีบสั่งแต่ต้น เงินเรามีซื้อนะ อะไรทำนองนั้น
มีปากก็พล่ามได้ แต่ถ้ามีสำนึกคิด ก็จะรู้ ทั้งผลิตไม่ทัน ทั้งแย่งกันซื้อ ทั้งขาใหญ่เบ่งเอาก่อน
คน ๖ พันล้านต้องการ แต่คนผลิตป้อนต้องการ มีไม่ถึง ๑๐ เจ้า คิดผ่านฝ่าเท้า ก็ยังเข้าใจ ไม่ต้องใช้สมองระดับแพทย์คิดหรอก
ถ้าทุรน-ทุราย ด้วยเจตนาจัดหามาฉีดเป็น “วัคซีนบริการ” ประชาชน แบบนั้น จะไม่พูดเลย
แต่นี่ ฟูมฟายเพื่อเอามาเป็น “วัคซีนพาณิชย์” เมื่อไม่ได้อย่างใจธุรกิจ ก็ฟาดโครมใส่รัฐบาล ใส่สาธารณสุข ใส่ GPO
เห็นแล้ว “ต่อมเสือก” ของผม มันเลยทำงาน!
ตอนนี้ ไวรัสโควิด มันขยายแฟรนไชส์ โดยแตกไปหลายสายพันธุ์ สายพันธุ์จีน ไปอังกฤษ จากอังกฤษ ไปอินเดีย จากอินเดีย ไปแอฟริกาใต้
มันไปเร็วและแตกสายพันธุ์ จนวัคซีน “พัฒนาตามไม่ทัน” ตอนนี้
ที่สั่งค้างสต็อกกันไว้ จะมาปลายปีนี้-ต้นปีหน้า ทำท่าจะเป็น “วัคซีนตกรุ่น” เรียกว่า “โควิดล้ำหน้า-วัคซีนตามตูด”
แล้ว “โมเดอร์นา” ที่สั่งมาเป็นทางเลือก อีก ๔ เดือน ๕ เดือน ถึงจะได้ ทำไงล่ะตานี้
“ต้นทุนหาย-กำไรหด” จำต้องโวยออกตัว อย่างนั้นใช่มั้ย?
ไม่ต้องออกตัวหรอก ดีซะอีก เดิมฉีด ๒ เข็มอยู่ ตอนนี้ ก็ต้อง แห้งชาม น้ำชาม ตบตูดด้วยเกาเหลาอีกชาม เป็น ๓ เข็ม เป็นทางเลือกรวย ไม่ดีหรือ?
ทำไป-ทำมา Chola Cov-19 รุ่น ๒ ด้วย “เทคโนโลยีวัคซีน mRNA ของจุฬาฯ ที่กำลังเข้าโค้งสุดท้าย” นำรุ่น” สุด
เพราะออกแบบตอบโต้ “เชื้อดื้อวัคซีน” ได้ทุกสายพันธุ์ อย่างตอนนี้ สายพันธุ์อังกฤษตกรุ่น ของอินเดียมาใหม่-มาแรง
รู้สายพันธุ์ปุ๊บ ก็เอาเชื้อไปออกแบบวัคซีน สังเคราะห์ในหลอดทดลองปั๊บ
ฉีดปู๊ดๆ ภูมิต้านทานขึ้นปั๊บๆ เลย!
นี่คือที่ “ศูนย์วิจัยวัคซีน” ของจุฬาฯ กำลังพัฒนาต่อยอดจากรุ่นแรกที่ได้ฉีดทดลองในอาสาสมัครไปหมาดๆ และรุ่น ๒ ที่สู้ได้ทุกสายพันธุ์ กำลังพัฒนาตามมาติดๆ
การระบาดรอบ ๓ ขณะนี้ ดูท่าจะหนักขึ้น พูดจากันน่าตื่นตกใจถึงขั้น “โรงพยาบาลจะแตก” ไม่มีเตียง มดหมอก็เกินกำลังจะรับ
สื่อก็โหมประโคมซ้ำเติม จนไวรัสโรค “จิตผวา” ระบาดสมทบ!
ภูเก็ตก็จะเปิดนำร่อง
สายพันธุ์อินเดียก็มาสมทบอังกฤษ ซิโนแวค-แอสตร่า เซนเนก้า ๒ ไม่พอ ต้องถึง ๓ เข็ม ทั้งป่วย-ทั้งตาย ยอดโตไม่หยุด
ก็มีทั้งฝ่ายให้เปิดเมืองและฝ่ายให้ปิดเมือง แถมมีกลุ่มคนยกขบวนมา “ถล่มเมือง” ไล่นายกฯ ตอนนี้อีก
ทั้งในสภา-ในถนน ถ้านายกฯ “จิตไม่แข็ง” ไม่มั่นคงต่อการทำเพื่อบ้านเมืองและเพื่อความ “อยู่รอด-อยู่ได้” ของพี่น้องประชาชนแล้วละก็
เป็นคนอื่นคง “ไม่ไหวแล้วพี่ขา” แต่นี่เป็นคนชื่อ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ต้อง
สู้เขาและสู้มัน!
เมื่อโลกใบนี้เกิดมีมนุษย์ เชื้อโรคมันก็เกิดมีควบคู่กันมา ฉะนั้น ถ้าพูดว่า “ปิดเมืองหรือเปิดเมือง” ดี ไม่ต่างจากถาม “ไก่กับไข่” ใครเกิดก่อน?
รอให้หมดโรค แล้วค่อยเปิด ชาตินี้ก็ไม่ได้เปิด
เปิดแล้วระบาดหนักนะ….
ก็แล้วปิดมาเป็นปี มันหยุดระบาดมั้ยล่ะ?
ในเมื่อเศรษฐกิจก็ต้องบริหาร โรคก็ต้องบริหาร การทำมาหากินชาวบ้าน ก็ต้องทำ
แล้วจะให้ทำไง?
ไม่ต้องทำไง อยู่กับ “โลกเป็นจริง-ชีวิตจริง” ถูกต้องที่สุด เพราะธรรมชาติเขาออกแบบมาเช่นนี้