ย้อนอดีต ‘ห่า’ กินเมือง-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที

            ขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือวัคซีนก็ทำงานทุกวันเช่นกัน

 ไม่คิดจะหยุดพักกันบ้างรึไง

            ทั้งนักการเมือง นักเคลื่อนไหวการเมือง ยันแก๊งล้มเจ้า  สลับขึ้นลงสอดรับกันไปหมด ราวกับว่า ถ้าประชาชนไปฉีดวัคซีนกันเยอะจะกลายเป็นผลงานของรัฐบาลไป

            ฉะนั้นต้องสร้างความกลัวให้เกิดขึ้น

            ช่วงนี้มีเวลาท่องโลกออนไลน์เยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโลกของขบวนการสามนิ้ว สามสัส กลุ่มต่อต้านสถาบัน

            พูดได้คำเดียวครับ…น่ากลัว

            ที่บอกว่าน่ากลัวคือเต็มไปด้วยเฟกนิวส์ และคนเชื่อเฟกนิวส์ที่เสพสื่อด้านเดียวชนิดฝังหัว

            หลายคนบอกว่ารัฐบาลไม่เห็นชี้แจงเฟกนิวส์เลย

            ถ้าฟังการแถลงข่าวของ ศบค. จะเห็นเป็นระยะๆ ครับว่า มีการตอบข้อสงสัยของประชาชน อยู่เรื่อยๆ เพียงแต่การจะให้ชี้แจงเฟกนิวส์ทุกประเด็น คงเป็นไปไม่ได้

            ตามแก้ไม่ทันครับ มันเยอะเหลือเกิน

            เว้นเสียว่าเชือดไก่ให้ลิงดูกันบ้าง ก็น่าจะเพลาๆ ลงได้

            แต่ก็ต้องยอมรับว่า เฟกนิวส์ มีผลต่อการฉีดวัคซีนพอสมควร

            ช่วงนี้ต้องเข้าไปดูเฟซบุ๊กคุณหมอยง ภู่วรวรรณ ทุกวัน  คุณหมออธิบายเรื่องวัคซีนในแทบจะทุกแง่มุมที่คนไทยอยากรู้

            พักหลัง ศบค.เองนำข้อความจากคุณหมอยงมาเผยแพร่เพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องดี และควรทำอย่างต่อเนื่อง

            โพสต์ล่าสุดของคุณหมอวานนี้ เปรียบเทียบโรคระบาดในอดีตกับโควิด-๑๙

            “…เมื่อมองย้อนไปในอดีต การระบาดใหญ่ของโรคตั้งแต่อหิวาตกโรคในสมัย ร.๒ มีคนเสียชีวิตจนเผาศพไม่ทันต้องไปทิ้งให้แร้งกิน โรคสงบเองเพราะผู้ที่ติดเชื้อจำนวนมากทำให้เกิดภูมิต้านทานกลุ่ม

                ในสมัย ร.๖ พ.ศ.๒๔๖๑ เกิดไข้หวัดใหญ่สเปนระบาดในประเทศไทย เราไม่มียา ไม่มีวัคซีน โรคระบาดเต็มที่ ขณะนั้นประเทศไทยมีประชากร ๘.๕ ล้านคน

                เสียชีวิตไป ๘๐,๒๓๓ คน หรือ ๑% ของประชากรไทย  (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๓๖ หน้า ๑๑๙๓) โรคระบาดใช้เวลา ๒ ปีก็สงบเอง โดยมีคนติดเชื้อที่รายงานประมาณ ๒.๓  ล้านคน

                แต่จริงๆ แล้วน่าจะติดเชื้อไปกว่าครึ่งหรือ ๔ ล้านคน ก็เกิดภูมิคุ้มกันหมู่โรคก็สงบและไข้หวัดใหญ่สเปนก็กลายเป็นโรคประจำฤดูกาลไปเพราะประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิต้านแล้ว

                ทำนองเดียวกันโควิด-๑๙ ระบาดในประเทศไทย ถ้าไม่ทำอะไรเลยปล่อยตามธรรมชาติ ก็จะมีการติดโรคกันกว้างขวางและเชื่อว่าจะใช้เวลา ๒ ปี โรคก็จะสงบลงเอง

                แต่เราจะมีการเจ็บป่วยมากมายและจะสูญเสียชีวิตอย่างน้อย ๑% หรือ ๗ แสนคน โรคก็จะสงบเอง แต่เราไม่สามารถยอมรับได้จึงมีมาตรการต่างๆ ที่ยื้อเวลาจนมีวัคซีนเพื่อมาทดแทนการติดโรค

                วัคซีนจึงเปรียบเสมือนให้เราติดโรคและไม่มีอาการ แต่สร้างภูมิต้านทานเหมือนติดโรค

                ถ้าเราให้วัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันเหมือนกับเคยเป็นโรคมาแล้วจำนวนมาก โรคก็จะสงบควบคุมได้ ชีวิตก็จะได้กลับมาสู่ภาวะปกติ เด็กจะได้ไปโรงเรียน อยากไปไหนก็จะได้ไป

                วัคซีนจึงเป็นทางออกในการควบคุมการระบาดของโรคและยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าปีแล้ว…”

            วันนี้เรามีวัคซีนแล้ว และเดือนหน้าพร้อมที่จะฉีดปูพรม

            คนไทยควรจะร่วมใจกันไปฉีดครับ

            ฉีดกันให้เยอะเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แบบอังกฤษ จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมากันซะที

            วันนี้ที่น่าห่วงคือโควิดในเรือนจำ 

            เฉพาะเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ปาเข้าไป  ๑,๗๙๕ ราย

            นี่คืออีกปัญหาที่รัฐต้องรีบแก้ไขทันที

            เพราะถูกลากไปเป็นประเด็นการเมืองอีกแล้ว

            ครับ…พวกที่เรียกร้องปล่อยเพื่อนเรา เอาไปขยายความต่อว่า คุกเหมือนฟาร์มเลี้่ยงสัตว์

            เวลาเกิดโรคระบาดในสัตว์ ฟาร์มหรือคอกสัตว์จะเกิดปรากฏการณ์ตายยกฟาร์ม

            โควิดก็เช่นกัน หากเกิดในพื้นที่ปิดแต่เชื้อสามารถเข้าไประบาดได้อย่างในเรือนจำ ที่นั่นคือพื้นที่การระบาดที่สมบูรณ์แบบ

            หากสถานการณ์การระบาดยังควบคุมไม่ได้จากภายนอก ในเรือนจำซึ่งมีผู้ต้องขัง ๓ แสนคน จะอยู่ในสภาพแหล่งเพาะเชื้อ

            มุมหนึ่งก็ดีใจครับที่ก๊วนสามกีบสะท้อนปัญหาเช่นนี้ออกมา

            ถูกต้องครับ คุกเป็นระบบปิด คนอยู่รวมกันเยอะ ถ้าเกิดโรคระบาด มีโอกาสเสียชีวิตจำนวนมากๆ ได้

            เช่นเดียวกันครับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศเพื่อไม่ให้คนจำนวนมากไปรวมตัวกัน วัตถุประสงค์ป้องกันการระบาดของโควิด

            ถามหน่อยที่ผ่านมาสามกีบสนใจหรือเปล่า

            เตือนแล้วเตือนอีกการชุมนุมเสี่ยงติดโควิด ฟังกันหรือไม่ 

            “รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” ติดโควิด แต่เมื่อดูตามไทม์ไลน์ที่ “รุ้ง” แสดงต่อสาธารณะแล้วก็มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ

            ๖ พ.ค. ทัณฑสถานหญิงกลาง ศาลอาญารัชดา โรงพยาบาลพระรามเก้า บ้าน

            ๗ พ.ค. อยู่บ้าน

            ๘ พ.ค. อยู่บ้าน

            ๙ พ.ค. อยู่บ้าน

            ๑๐ พ.ค. อยู่บ้าน ไป swab drive thru เวลา ๑๓.๓๐

            ๑๑ พ.ค. ไปบริเวณหน้าเรือนจำ ช่วงเวลา ๑๘.๓๐-๒๐.๓๐ รู้ผลว่าติดโควิด ๒๐.๓๐

            ประเด็นอยู่ที่วันที่ ๑๐ และ ๑๑ พฤษภาคม

            “รุ้ง” ไป swab เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีความเสี่ยงใช่หรือไม่

            แทนที่จะกักตัวให้ครบ ๑๔ วันหลังออกจากเรือนจำ

            แต่รุ่งขึ้นหลัง swab “รุ้ง” ไปม็อบพบปะมวลชน

            แค่นี้ก็เสี่ยงที่จะก่อคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ได้แล้ว

            เปล่าประโยชน์ครับที่จะมารู้สึกผิดในภายหลัง

            และจะยิ่งไม่มีสาระอะไรเลยหากคนพวกนี้เอาแต่โจมตีวัคซีน แต่กลับมีพฤติกรรมเสี่ยงเป็นผู้แพร่เชื้อเสียเอง

            การเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ตราบเท่าที่ไม่มีการใช้ความรุนแรง

            ขณะที่การรับผิดชอบต่อส่วนรวม คือพื้นฐานของการเรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ

            ถามว่า “รุ้ง” มีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานนี้อย่างไรบ้าง.  

 

Written By
More from pp
กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครผู้มีใจรักงานบริการ ทำงานที่มาเก๊า จำนวน 67 อัตรา สมัครฟรีภายใน 12 กุมภาพันธ์ 67
29 มกราคม 2567  นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊ากับนายจ้างบริษัท MGM Grand...
Read More
0 replies on “ย้อนอดีต ‘ห่า’ กินเมือง-ผักกาดหอม”