นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความเป็นห่วงประชาชนทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอพยาบาลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เสียสละดูแลประชาชนอย่างเต็มที่
ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่สุดจึงขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังดูแลป้องกันตนเองด้วยความไม่ประมาท
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัด ทั้งเป็นการติดเชื้อจากบุคคลสู่บุคคลจากการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เสี่ยง จึงเกิดการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน
ซึ่งมีสาเหตุจากการร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่นงานเลี้ยงสังสรรค์ การประชุม ฯลฯ หรือกิจกรรมที่ลักลอบดำเนินการ เช่นการพนัน การมั่วสุม เป็นต้น ดังนั้น นายกฯ จึงขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ซึ่งมีมาตรการออกมาอย่างเหมาะสมสำหรับพื้นที่นั้นๆ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ นายกฯ ขอให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีการรวมคนและการเดินทางข้ามจังหวัด และขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเสมอ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น ล้างมือบ่อยๆให้ความร่วมมือในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายตามสถานที่ต่างๆ ติดตั้งแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” และสแกน“ไทยชนะ” เวลาเช็คอินและเช็คเอ้าท์สถานที่ต่างๆ และหากมีอาการที่สงสัยว่าจะติดเชื้อขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วอย่าปล่อยให้อาการรุนแรง
ในเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับคนไทย นายกฯ ได้เร่งรัดให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหาวัคซีนในทุกช่องทางเพื่อให้ประชาชนไทยเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วที่สุด โดยกำหนดการจัดหาวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชาชนไทยในปี 2564 นี้
ซึ่งมีการดำเนินการในหลายแนวทาง และถึงแม้ประเทศไทยจะได้จองซื้อวัคซีนของAstraZeneca จำนวน 26 ล้านโดสไปแล้วก็ตาม แต่การจองซื้อวัคซีนนี้เป็นเพียงข้อตกลงชุดแรก ทั้งนี้ ไม่ได้มีการเจาะจงว่าจะทำความร่วมมือเฉพาะกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง ซึ่งขณะนี้
นายกฯ ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นอีกหลายบริษัท และมีการกำหนดแผนการใช้วัคซีน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์การระบาดนี้โดยเร็ว
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถึงแม้ว่าประเทศจะสามารถนำวัคซีนมาให้บริการกับประชาชนอย่างครอบคลุม แต่การดูแลสุขอนามัยส่วนตัว ยังเป็นมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกว่าทั่วโลกจะเข้าสู่สภาวะปกติ”