1 ก.ย.2563 นายประกอบ รัตนพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ถึงการพิจารณาเรื่องด่วน ร่าง พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. … และร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด ว่า
เดิมทีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด และสิ่งเสพติดให้โทษมีอยู่หลากหลายถึง 24 ฉบับ เป็นพระราชบัญญัติ 19 ฉบับ เป็นพระราชกำหนด 1 ฉบับ เป็นคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 2 ฉบับ ทำให้มีการปฏิบัติที่หลากหลายไปตามหน่วยงานองค์กรที่บังคับใช้กฎหมาย ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคไม่เป็นธรรมกับผู้ต้องโทษกับผู้ที่ถูกกล่าวหา ดังนั้นจึงถือเป็นแนวคิดที่ดีมากที่จะรวบรวมบูรณาการ ให้เหลือเพียงกฎหมายฉบับเดียว เพราะเมื่อเหลือเพียงฉบับเดียวผู้บังคับใช้และส่งเสริมการใช้กฎหมาย ก็จะเป็นไปอย่างเป็นเอกภาพ ไม่เลือกปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ในภาวะแนวโน้มที่รัฐจะผ่อนปรน เรื่องยาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชสมุนไพรที่เป็นประเภทยาเสพติดประเภทที่ 5 ไม่ว่าจะเป็นกัญชาหรือพืชกระท่อม ที่กำลังพิจารณาแนวโน้มถึงการปลดล็อคในพืช 2 ประเภทดังกล่าว เพราะเป็นพืชที่อยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานมีทั้งคุณและโทษ ที่ผ่านมารัฐถือว่าพืชทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นพืชที่เป็นยาเสพติดให้โทษ ใครปลูกใครเสพใครนำไปใช้จะมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้การปลดล็อคทั้งพืชกัญชาและพืชกระท่อม ล้วนมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี 2 มาตรการ ทั้งเรื่องส่งเสริมและการป้องกันจำกัด
นายประกอบกล่าวว่า ในเรื่องของการส่งเสริมการใช้นั้นตนไม่ติดใจ เพราะเป็นการส่งเสริมเพื่อใช้ในทางการแพทย์ ส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์ใช้ในการทดลอง และในเรื่องของอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเรียนรู้จากต่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องของกัญชา จะเห็นว่าในบางประเทศมีการกำหนดให้ภาครัฐเท่านั้นที่เป็นผู้ควบคุมดูแลเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์การวิทยาศาสตร์และทางอุตสาหกรรม แต่ไม่อนุญาตให้ภาคเอกชน เพราะเชื่อว่ายาเสพติดเหล่านี้เปรียบเสมือนปืนที่มีทั้งคุณและโทษถ้าใช้เพื่อป้องกันและรักษาตัวเองก็เป็นประโยชน์ หากนำไปใช้ผิดประเภทไปฆ่าผู้คนศัตรูคนอื่นก็จะมีโทษ
สำหรับมาตรการในการป้องกัน จำกัดนั้น นายประกอบบอกว่า เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้ขึ้น แนวโน้มเรื่องความเชื่อของยาเสพติดควรจะทำอย่างไร เมื่อมีการเปิดปลดล็อคให้พืช 2 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นพืชที่จัดอยู่ในประเภทยาเสพติด ประเภท 5 แต่เมื่อกลายเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ก็จำเป็นต้องมี 2 แนวทางทั้งในเรื่องของการส่งเสริมและการป้องกันจำกัด ไม่ให้แพร่หลายออกไปเพื่อเป็นโทษกับเยาวชน
ซึ่งถือว่าเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่สำคัญมาก เพราะในเมื่อวันนี้พืชทั้ง 2 ชนิดนี้ยังเป็นยาเสพติด ใครปลูกใครเสพใครครอบครองก็ยังผิดกฎหมาย และยังมีการทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หากได้ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่มีมาตรการป้องกันที่ดี ก็จะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก จึงอยากฝากว่าต้องดูแลอย่างรอบคอบเรามีกฎหมายถ้าใช้กฎหมายไม่ถูกต้องก็จะเป็นโทษอย่างมหันต์เช่นเดียวกัน
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่