29 มิ.ย.63 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมาก โดยรัฐบาลมีการสนับสนุนงบประมาณถึง 3,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการศึกษาและพัฒนาให้มีวัคซีนเพื่อใช้ในการป้องกันป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเร็วที่สุด
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้มีการดำเนินการเชิงรุก โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ การวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนเองในประเทศ อยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลอง (ลิง) เพื่อไปสู่การพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนสำหรับการใช้ทดสอบในคน (GMP) ซึ่งการทดสอบวัคซีนในคนก็มีหลายระยะคือระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และทดสอดประสิทธิผลของวัคซีนในคนระยะที่ 3 ( candidate) เพื่อให้มั่นใจและปลอดภัยในการนำวัคซีนไปใช้ต่อไป
ซึ่งทุกภาคส่วนช่วยกันสนับสนุนการดำเนินการตามแผนเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย เพราะเมื่อไทยมีวัคซีนใช้ในประเทศแล้ว จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในภาพรวมของประเทศทั้งเรื่องของสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมอีกด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือและรับทราบถึงความก้าวหน้าแผนเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของไทย ตามที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเสนอ โดยมีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ ประชาชนไทยทุกคนได้ใช้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ที่พัฒนาวัคซีนสำเร็จเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก
และในระยะกลางและระยะยาว ประเทศไทยต้องมีขีดความสามารถในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้เพียงพอ สำหรับการใช้ในประเทศ และสามารถส่งออกเพื่อจำหน่ายในตลาดโลก รวมทั้งมีขีดความสามารถในการพัฒนาวัคซีนได้เองเมื่อมีการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคต ภายใต้ 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1) ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 2) พัฒนา ปรับปรุงศักยภาพการผลิตวัคซีนในประเทศ และ3) พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านวัคซีนของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานการทประชุมได้ย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงอยากให้ทุกคนยังต้องร่วมมือกันในการปฏิบัติตามาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเรื่องของ Social Distancing การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การสวมใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า รวมถึงการดูแลเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อประเทศไทยยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดีต่อเนื่องต่อไป