21 ธันวาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn หลังให้ความเห็นในรายการ ข่าวข้นคนเข้ม ทาง NATION ในหัวข้อเรื่อง “จบแบบไหนไทยกัมพูชา What is the endgame?” มีเนื้อหาดังนี้
ก่อนการประชุมอาเซียนสมัยพิเศษเรื่องไทย-กัมพูชาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ต้นสัปดาห์หน้าในวันจันทร์ที่ 22 นี้ มีสัญญาณบางอย่าง (Clues) บอกว่าที่ประชุมดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดให้สงครามครั้งประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศนี้ให้เดินไปในทิศทางไหน จะหยุดยิงกันได้จริงหรือไม่ สันติภาพจะอยู่บนแผ่นกระดาษเช่นเดิมหรืออย่างไร
ถ้าพิจารณาจากการเจรจานอกรอบ (Pre-negotiation Meeting) ของหลายประเทศที่เกี่ยวข้องอยู่ในขณะนี้ก่อนการประชุมจริง เช่น เรื่องข้อเท็จจริงในการสู้รบ เงื่อนไขในการหยุดยิง การปรับปรุงคณะผู้สังเกตการณ์ การเพิ่มประเทศคนกลาง ตลอดจนการระบุขั้นตอนและรูปแบบการกลับเข้าสู่ “ปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์” หรือกลไกอื่น ๆ เราก็คงจะสรุปกันได้ในเบื้องต้นว่าอย่างน้อย ๆ ผลการประชุม ดังกล่าว จะไม่นอกเหนือไปจาก 3 รูปแบบข้างล่าง คือ:
1. รูปแบบแรก – “เลวร้ายที่สุด” (Worst Case Scenario) คือ “ตกลงกันไม่ได้” ในรูปแบบนี้ถ้าจะเป็นจริง ฝ่ายไทยจะต้องมองว่ากัมพูชาไม่มีแนวโน้มที่จะ “สิ้นสภาพภัยคุกคาม” อย่างแท้จริง ยังดำรงความมุ่งหมายที่จะครอบครองแผ่นดินไทยและรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ทหารไทยยังไม่สามารถยึดคืนพื้นที่ได้ตามที่ต้องการ จึงต้องปฏิบัติการทางทหารต่อไป โดยฝ่ายการเมืองของไทย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมนโยบายและทิศทางของความขัดแย้งตามกฏหมายนั้น ก็จะต้องมองว่าตนยังได้ประโยชน์ไม่เพียงพอหรือยังไม่ได้เปรียบมากนัก และประชาชนส่วนใหญ่ก็จะต้องเห็นพ้องต้องกันด้วยว่า การรบต่อไปนั้น จะไม่สุ่มเสี่ยงต่อความสูญเสียที่มากเกินไป
ส่วนฝ่ายกัมพูชา ก็คงจะต้องมองคล้าย ๆ กันเช่นกัน แต่เป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน หรือสะท้อนเป็นกระจกเงาของการเมืองระหว่างประเทศ (Mirror Image) ว่าไทยยังคงเป็นภัยคุกคามหลักที่สำคัญ และจำเป็นต้องลดภัยคุกคามดังกล่าวลงอีก ผู้นำกัมพูชาก็ยังต้องมีความต้องการ “ต่อรอง” กับผู้นำของไทย และต้องการ “สั่งสอน” คนไทยต่อไป ซึ่งกัมพูชาก็จะต้องมั่นใจว่ามหาอำนาจบางชาติและนานาชาติ จะเพิ่มการสนับสนุนต่าง ๆ ให้ “ยืนระยะ” ต่อสู้กับไทยต่อไปได้ เช่นเดียวกับที่เห็นในยุโรปหรือในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ผู้นำของกัมพูชาจะต้องมั่นใจอีกด้วยว่าจะ “กุมสภาพ” หรือควบคุมทุกอย่างในประเทศของตนไว้ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมาหลายปี
หากเป็นเช่นนั้นจริง สงครามกัมพูชา-ไทยก็จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ยืดเยื้อ และยาวนาน (Continumm of Conflict) เหมือน ๆ กับสงครามในหลายภูมิภาค ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ในที่สุดมหาอำนาจและพันธมิตรแต่ละฝ่ายก็คงไม่มีทางเลือกอื่นและจำต้องเข้าช่วยเหลือไทยและกัมพูชาอย่างจริงจัง ซึ่งก็จะทำให้เกิดสงครามตัวแทน (Proxy War) ในระดับภูมิภาคขึ้นได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นแนวทางที่ “เลวร้ายที่สุด” ต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย ต่อเศรษฐกิจ สังคม และด้านอื่น ๆ ของชาติบ้านเมือง
แต่ถ้าพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งหมดแล้ว ก็ยังต้องถือว่าแนวโน้มที่สถานการณ์จะเป็นไปในรูปแบบแรกนี้ “ยังมีไม่มาก” ซึ่งก็เป็นโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เร่งหาทางออกอื่น ๆ ที่ดีกว่า
2. รูปแบบที่สอง: “ดีที่สุด” (Best Case Scenario) คือ ไทยและกัมพูชา “ตกลงกันได้แบบเบ็ดเสร็จ” คือทั้งสองฝ่ายต้องการจะให้ความขัดแย้ง “จบจริง ๆ” ในแบบที่ไม่ต้องเสียหายเสียเลือดเนื้อกันไปมากกว่านี้ โดยจะยุติความขัดแย้งกันอย่างจริงจังและถาวรและมีข้อตกลงแบบรอบด้าน (Comprehensive Agreement) ซึ่งอาจจะแบ่งข้อตกลงดังกล่าวออกเป็น 2 ขั้น คือ
2.1) ขั้นแรก (1st Stage Plan) – จัดตั้ง “เขตปลอดภัย 3 ชั้น” คือ ชั้นนอกเป็น “เขตปลอดทหาร” (Demilitarized Zone – DMZ) ในพื้นที่สู้รบ (พื้นที่สีแดง) ให้เป็นเขตปลอดอาวุธ ไม่มีทุ่นระเบิด ไม่มีการบินโดรน ไม่มีการดำรงกำลังพลหรือเสริมสร้างกำลังรบเข้ามา โดยมีระบบเฝ้าระวังที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ดาวเทียมหรือระบบกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวในพื้นที่เฝ้าระวังตลอดเวลา ถัดเข้ามาพื้นที่ชั้นกลางเป็น “เขตความมั่นคง” (Security Buffer Zone – SBZ) ตามแนว 7 จังหวัดชายแดน ทั้งทางบกและทางทะเล (พื้นที่สีเหลือง) เพื่อควบคุมด่านต่าง ๆ ช่องทางเข้าออกทุกประเภท และกิจกรรมทั้งหลายของขบวนการผิดกฏหมาย เช่น สแกมเมอร์ การค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ พลังงานเถื่อน หรือสิ่งผิดกฏหมายต่าง ๆ ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงหรือยุทธปัจจัยสำคัญของสงคราม และสุดท้ายพื้นที่ชั้นใน เป็น “พื้นที่พักรอด้านมนุษธรรม” (Humanitarian Corridor Zone – HCZ) ซึ่งเป็นพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในด้านต่าง ๆ เป็นพื้นที่พักพิงและพักรอการส่งกลับสู่ภูมิลำเนาหรือมาตุภูมิ (พื้นที่สีฟ้า) ทั้งนี้โดยอาศัยรูปแบบที่มีอยู่แล้วในหลายประเทศเป็นแนวทาง ตามระบบสากล ตามกฏหมายระหว่างประเทศ และด้วยความช่วยเหลือและร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
2.2) ขั้นที่สอง (2nd Stage Plan) – จัดทำหลักเขตแดนถาวรแบบเร่งรัดระหว่างไทยและกัมพูชา (Accelerated Demarcation Negotiation) โดยตกลงกันในระดับทวิภาคีหรือระหว่างสองประเทศเท่านั้น ที่จะยกเลิก แก้ไข หรือปรับปรุงแนวทางและข้อตกลงต่าง ๆ ให้ดีขึ้นและเข้าสู่การเจรจาเพื่อจัดทำหลักเขตแดนที่เหลืออยู่ (1/3 ส่วน) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญที่รากเหง้า (Root Cause) ของความขัดแย้งที่มีมานานนับร้อยปี ส่วนปัญหาอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็จะแก้กันได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ทั้งหมดนี้เป็น “แนวทางที่ดีที่สุด” (Best Case Scenario) เพราะครอบคลุมทุกด้านทุกมิติ แต่ในขณะนี้ ก็ยังเป็นไปได้ “น้อยมาก” เหตุเพราะมีความซับซ้อนยุ่งยากหลายประการ เช่น รูปแบบหรือตัวอย่างที่มีไม่มากในระบบสากล ไม่ตรงตามเงื่อนไขของไทยหรือกัมพูชา มีข้อกฏหมายระหว่างประเทศซับซ้อน มีความได้เปรียบเสียเปรียบทางการทหารหรือทางการเมืองที่แตกต่างกัน และสงครามกัมพูชา-ไทย ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ยังเป็นสงครามขนาดเล็กแบบจำกัดอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งอาจจะไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่ทำให้เกิดข้อตกลงแบบรอบด้านดังกล่าวได้ง่าย
แต่หากจะทำให้แนวทางนี้เป็นจริงได้ ก็จะต้องมีเสียงสนับสนุนของประชาชน จากมหาอำนาจ และนานาชาติมากพอ ที่สำคัญฝ่ายการเมืองและผู้นำจะต้องมีความจริงใจหรือตั้งใจ (Political Will) ในการผลักดันแนวทางนี้ให้ได้
3. รูปแบบที่สาม: “ตกลงกันได้แบบจำกัด” (Joint Declaration Plus) คือ ไทยและกัมพูชาตกลงกันใน “หลักการ” ที่จะกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพเดิมที่มาเลเซีย สหรัฐฯ และอาเซียนผลักดันอย่างเปิดเผยมาตั้งแต่แรก และมีจีน ญี่ปุ่น และบางประเทศสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยมีข้อเสนอเพิ่มเติม (+Plus) ที่จะทำให้สันติภาพไม่เปราะบางเหมือนครั้งที่ผ่านมา
ซึ่งในครั้งนี้ ก็มีความชัดเจนว่ามหาอำนาจและชาติต่าง ๆ ที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นนั้น รวมทั้งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในปัจจุบัน ได้กดดันไทยและกัมพูชามากขึ้นให้ยุติการสู้รบ ทั้งนี้ เพื่อให้ทั้งสองประเทศกลับไปสู่ข้อตกลงสันติภาพเดิม แต่ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน เช่น ขู่ขึ้นภาษี เริ่มลดการสนับสนุนต่างๆ เสนอตนเองเป็นตัวกลาง เสนอให้ใช้เครื่องมือทางการทหาร เช่น ดาวเทียมสอดแนม หรือดำเนินการพูดคุยโดยตรง พูดคุยหลังฉาก ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำกันอย่างเปิดเผยและชัดเจนมากขึ้น
ที่น่าสนใจคือ มีข้อเสนอเบื้องต้นก่อนการประชุมฯแล้วว่า ไทยและกัมพูชาจะต้องลดระดับความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันทันที และให้หยุดยิงตามกำหนดเวลาใหม่ โดยจะมีคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน (ASEAN Observer Team – AOT) ที่พร้อมเข้ามาควบคุมกำกับการหยุดยิงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ อาจจะมีกลไกหรือองค์ประกอบใหม่บางอย่างเพิ่มเติมจากการตกลงกันในที่ประชุมฯ ในวันนั้น เช่น เพิ่มบทบาทของบางประเทศ เพิ่มกลไกในการบังคับข้อตกลง หรือเพิ่มองค์ประกอบในปฏิญญาฯ เป็นต้น
ที่สำคัญ มีความเป็นไปได้ว่าการปฏิบัติทางทหารของทั้งสองฝ่ายจะลดระดับลงภายในสุดสัปดาห์นี้ เหตุเพราะฝ่ายไทยกำลังบรรลุวัตถุประสงค์ในการยึดครองและสถาปนาพื้นที่สำคัญในระดับที่มั่นคงปลอดภัยแล้ว อีกทั้งคนไทยจำนวนมากก็เริ่มรับได้แล้วว่าการ “สิ้นสภาพภัยคุกคาม” ของกัมพูชานั้น แท้ที่จริงแล้วหมายถึงอะไร ทั้งหมดนี้ หากเป็นไปในทางที่ดี ก็จะทำให้การประชุมอาเซียนฯ ในวันจันทร์นี้ราบรื่นขึ้น และหากประชุมกันได้ผลดีเท่าไร แนวโน้มที่สงครามระหว่างกัมพูชากับไทยจะลดระดับลงและหยุดยิงกันได้อย่างมีความหมาย (แต่ไม่ใช่การหยุดยิงอย่างสิ้นเชิง) ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย (รับชมรับฟังข้อควรระวังในการหยุดยิงได้ในคลิปรายการข้างล่าง นาทีที่ 7:15 ครับ)
สรุป หากสงครามระหว่างกัมพูชา-ไทยจะจบลง “แบบจำกัด” (ในรูปแบบที่สามข้างต้น) ผู้คนจำนวนมากก็อาจจะยังไม่คลายกังวลหรือวางใจได้มากนัก เพราะเงื่อนไขพื้นฐานของความขัดแย้งยังอยู่และองค์ประกอบของสงครามยังไม่ได้ถูกควบคุมอย่างจริงจัง และก็ยังต้องเฝ้าระวังการปะทุของความขัดแย้งหรือสงครามรอบใหม่ต่อไป
แต่ท่ามกลางความกังวลดังกล่าว ชาวไทยคงสบายใจขึ้นเมื่อเห็นแล้วว่าในสงครามครั้งนี้ ทหารไทยได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว เพราะได้ทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาให้ถอยหลังไปอีกหลายปี ซึ่งยากที่กัมพูชาจะกลับมาคุกคามเราแบบเดิมได้อีกถ้าหลายฝ่ายร่วมมือกันป้องกัน อีกทั้งทหารไทยสามารถครอบครองและสถาปนาดินแดนที่เป็นของเรากลับคืนมาได้ แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและความสูญเสีย สุดท้ายแล้ว ฝ่ายการเมืองของไทยก็ส่งสัญญาณชัดเจนให้กัมพูชารู้ว่าในที่สุดแล้ว ผู้นำไทยก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ไม่สามารถต่อรองให้เป็นอื่นได้.
*จาก Facebook Panitan Wattanayagorn (ปณิธาน วัฒนายากร)
