Thailand Rice Fest 2025 เผยศักยภาพข้าวไทยช่วยลดโลกเดือด ชูแนวทาง Carbon Farming สร้างโอกาสใหม่ให้ชาวนาไทย

ปลายปีนี้เทศกาลข้าวสุดยิ่งใหญ่ Thailand Rice Fest 2025 กลับมายกระดับวงการข้าวไทยอีกครั้ง พร้อมตอกย้ำบทบาทในการเปิดพื้นที่ให้ภาครัฐ นักวิชาการ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไปได้มาพบกัน เพื่อร่วมขับเคลื่อนอนาคตของข้าวไทยอย่างรอบด้าน ผ่านกิจกรรมสุดพิเศษมากมายโดยปีนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการข้าวมากมายมาร่วมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเวทีเสวนา ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่ได้รับความสนใจในงานคือเสวนาหัวข้อ “Carbon Farming ในการผลิตข้าว: โอกาสและแนวทางสำหรับชาวนา” โดย ศ.ดร.พูนพิภพ เกษมทรัพย์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชาวนาไทยเป็นกำลังสำคัญในการรับมือปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ผ่านการทำนาในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Carbon Farming และเกษตรฟื้นฟู

ข้าว ดิน และเกษตกร พลังสำคัญในการลดโลกเดือด

ศ.ดร.พูนพิภพ เปิดเผยว่า  ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากมาย เนื่องจากระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมาสูงขึ้นจนทำลายสถิติในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีข่าวดีจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ชี้ตรงกันว่า พืชและดินจะเป็นกลไกสำคัญในการดูดซับคาร์บอนกลับคืนสู่ผืนโลก ส่วนในประเทศไทยเองก็มีจุดแข็งอยู่ที่การทำการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ โดยงานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าภาคเกษตรไทยแม้จะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่บ้าง แต่กลับสามารถดูดซับกลับได้มากกว่า ทำให้ภาพรวมของภาคเกษตรเป็น คาร์บอนติดลบ” หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ชาวนาไทยช่วยลดคาร์บอนมากกว่าที่ปล่อยออกมา

เกษตรฟื้นฟูและ Carbon Farming แนวทางใหม่ชาวนาไทย

หากประเทศไทยต้องการใช้ข้อได้เปรียบทางธรรมชาติให้เกิดผลสูงสุด แนวทางการทำ เกษตรฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) และ Carbon Farming จะเป็นหัวใจสำคัญของการปรับตัวของภาคการเกษตรในอนาคต โดย เกษตรฟื้นฟู” คือการทำเกษตรที่มุ่งฟื้นฟูดิน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ลดการใช้สารเคมี และสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ส่วน “Carbon Farming” แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเทคนิค แต่เป็นแนวทางที่เรียบง่ายช่วยให้ชาวนาทำงานง่ายขึ้น ต้นทุนลดลง และได้ผลผลิตที่ดีขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่น การเพิ่มอินทรียวัตถุในดินทำให้ดินร่วนซุยและอุ้มน้ำได้ดี ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีและลดปัญหาดินเสื่อมโทรม การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้งช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว รวมทั้งยังใช้น้ำน้อยลงและลดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำ นอกจากนี้ถ้าใช้เทคโนโลยีหรือภาพถ่ายดาวเทียมตรวจวัดอย่างเป็นระบบ ก็จะเปิดทางให้ชาวนาสามารถสร้าง คาร์บอนเครดิต” ที่ขายให้ภาคธุรกิจได้ ถือเป็นการรักษาคุณภาพผลผลิตและสร้างความยั่งยืนให้โลกไปพร้อมกัน

การวัดผลที่โปร่งใส หัวใจสู่ Net Zero และคำตอบของปัญหา PM2.5

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือบทบาทของระบบ MRV หรือการวัดผล รายงาน และตรวจสอบ ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้การทำ Carbon Farming เกิดผลจริงและช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อสามารถพิสูจน์ปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้จากแปลงเกษตร ก็จะเปิดทางสู่การลงทุนและตลาดคาร์บอนอย่างโปร่งใส นอกจากนี้แนวคิดเดียวกันยังช่วยลดปัญหา ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการเผาซากฟางหลังฤดูเก็บเกี่ยว หากนำเศษวัสดุเหล่านี้กลับมาใช้เป็นอินทรียวัตถุในดินแทนการเผา ก็จะช่วยกักเก็บคาร์บอนเพิ่ม ลดควันพิษ และปรับปรุงคุณภาพดินไปพร้อมกัน ทำให้ภาคเกษตรกลายเป็นกำลังสำคัญในการแก้ทั้งปัญหาโลกร้อนและฝุ่นพิษที่กระทบคนไทยทั่วประเทศในทุกปี

นอกจากนี้ ภายในงาน Thailand Rice Fest 2025 ที่ผ่านมา ยังเต็มไปด้วยร้านค้าและกิจกรรมที่เปิดประสบการณ์ใหม่ ทั้งการชิมข้าวพิเศษกว่า 50 สายพันธุ์ เวิร์กชอปจากผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงเวทีเสวนาที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้สังคมได้เห็นศักยภาพของข้าวไทยในบริบทของโลกยุคใหม่ โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้เข้าชมงานอย่างล้นหลาม ตอกย้ำคุณค่าของข้าวในฐานะวัฒนธรรมและอาหารหลักของคนไทย พร้อมผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับโลก.

 

Written By
More from pp
“ไดอะซีแพม” ส่วนผสมใน“เคนมผง” ใช้เกินขนาดอันตรายถึงตาย
กรมการแพทย์ โดย สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) เตือนไดอาซีแพม ส่วนผสมในเคนมผง ใช้เกินขนาดอันตรายถึงตาย ผู้ลักลอบจำหน่ายหรือครอบครองหรือใช้ประโยชน์มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
Read More
0 replies on “Thailand Rice Fest 2025 เผยศักยภาพข้าวไทยช่วยลดโลกเดือด ชูแนวทาง Carbon Farming สร้างโอกาสใหม่ให้ชาวนาไทย”