รัฐบาลปริ่มน้ำ ฝ่ายค้านปริ่มขาดใจ

 

๕ รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐที่ยังเป็น ส.ส. ควรจะลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร   เพื่อเลื่อนลำดับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมาอีก ๕ อันดับ

ในภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ สิ่งสำคัญที่สุดคือ รัฐบาลต้องมีเสียงในสภามากพอที่จะโหวตชนะฝ่ายค้าน

แพ้คือเจ๊ง!

นายกฯ ประยุทธ์ มีทางเลือกไม่มากนัก

ไม่ “ลาออก” ก็ต้อง “ยุบสภา”!

แม้การลาออกจากการเป็น ส.ส.ของ ๕ รัฐมนตรี จะไม่ใช่หลักประกันว่า รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะปลอดภัย แต่อย่างน้อยเป็นหลักประกันว่ารัฐบาลจะมีเสียงมากพอ

เกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภา

ไม่ต้องทุรนทุราย เพื่อรวบรวมเสียงโหวต

โดยเฉพาะการโหวตกฎหมาย

หากเข้าใจหลักการแบ่งหน้าที่กันทำ

ส.ส.ทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ

รัฐมนตรีทำงานฝ่ายบริหาร

ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะเกาะเก้าอี้ แล้วไปตายเอาดาบหน้า

๕ รัฐมนตรีจะสร้างความมั่นใจให้แก่รัฐบาลในภาพรวมได้อย่างไรว่า ถึงเวลาโหวตกฎหมาย ทุกคนจะอยู่ในสภา

รัฐมนตรีต้องเดินทางไปราชการต่างประเทศตรงกับช่วงเวลาโหวตกฎหมาย จะแก้ปัญหาอย่างไร

เผื่อ ส.ส.เจ็บ ป่วย เข้าประชุมไม่ได้ เอาไว้หรือยัง

ดังนั้นการลาออกจากเก้าอี้ ส.ส.จึงเป็นประโยชน์มากกว่า

แต่ดูเหมือนว่า ๕ รัฐมนตรีไม่ยอมตามคำร้องขอของ “พี่ใหญ่”

“สมศักดิ์ เทพสุทิน” บอกว่า

                “ถ้าเรายังเป็นอยู่ทั้งสองอย่างจะได้งานมากกว่ามั้ย หรือมีปัญหากับการปฏิบัติงานก็ต้องพิจารณากัน แต่ที่ดูๆ แล้ว คิดว่าที่เป็นอยู่นี้จะสามารถทำงานในภาพรวมทั้งหมดได้ดีกว่า

                ได้พูดคุยกันดูแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะทั้ง ๕ คน ไม่ได้มีปัญหาอะไร และมันจะได้เรื่องการประสานงานกับ ส.ส.และรัฐบาล รวมถึงกระทรวงต่างๆ ได้ดีกว่า    

                เวลารัฐมนตรีเข้าไปประชุมสภา ส.ส.เขาจะคึกคัก

                บางทีเขาก็จะฝากเรื่องงาน ปรึกษาหารืออะไรต่างๆ และความที่ ส.ส.ใหม่มีเข้ามาเยอะก็ไม่ได้คุ้นเคยรู้จักกัน จะได้เรื่องความสัมพันธ์และการประสานงาน ซึ่งมีความสำคัญสำหรับคนหมู่มาก

                ถ้ามี ส.ส.ใหม่ทั้งหมด แล้วรัฐมนตรีกับ ส.ส.ไม่รู้จักกัน การทำงานสองสามอย่างในเวลาเดียวกันจะทำไม่ได้”

ยังไม่สมเหตุสมผล หากเทียบกับการเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

ซึ่งถือว่าไม่ใช่ภาวะปกติ!

อีกอย่าง พรรคพลังประชารัฐ มีประชุม ส.ส.ทุกสัปดาห์ มีเวทีให้รัฐมนตรีได้พบปะกับ ส.ส. สอบถามปัญหาสารทุกข์สุกดิบ อยู่แล้ว

เว้นเสียแต่ ส.ส.ทั้ง ๕ คนไม่ยอมลาออกเพราะ เผื่อไว้ว่าหากปถูกปรับพ้นคณะรัฐมนตรี จะไม่กลายเป็นคนตกงาน

และนี่คือสาเหตุหลัก!

ฉะนั้น ๕ รัฐมนตรี

สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ต้องเลือก!

ระหว่างเสถียรภาพของรัฐบาล กับความมั่นคงในเก้าอี้ของตนเอง

บริหารกระทรวงเก่ง

ทำงานดี

ไม่สร้างเรื่องฉาวโฉ่

โอกาสถูกปรับออกแทบไม่มี

ได้นั่งเป็นรัฐมนตรียาว

ฉะนั้น….ถ้าคิดว่าตัวเองเจ๋งจริง อย่ากลัว!

สำคัญไปกว่านั้น ยังสะท้อนถึงการเป็นนักการเมืองมีสปิริต ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง

หันไปทางฝ่ายค้าน เรียกได้ว่า เป็นมือสมัครเล่นเสียส่วนใหญ่

เพื่อไทยปรับพรรคครั้งใหญ่เพราะ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ สอบตกหมด

และเกือบทั้งหมดเป็นหัวกะทิของพรรค

หางกะทิที่เหลือคือ ส.ส.เขต ยังมีปัญหาว่า ไม่มีใครนำใครได้

“สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” เอาไม่อยู่

เหตุผลง่ายๆ แม้ “นายใหญ่” สั่งมา แต่ก็ไม่ใช่สายนายใหญ่

เราจึงได้เห็น “พยศ” จาก ส.ส.อีสาน

บวกกับร่วม ๒๐ ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน ยันเพื่อไทย เป็นรัฐบาลมาโดยตลอด

บทบาทฝ่ายค้านในสภาของเพื่อไทยจึงดูค่อนข้างสะเปะสะปะ

หนักไปทางใช้ “ดาว(ร่วง)สภา” ใช้โวหารเสียดสีเป็นหลัก

หนักเข้าปล่อย “เฟกนิวส์” กลางสภาก็มีให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง

พรรคอนาคตใหม่

ความใหม่ของ ส.ส.คือปัญหาใหญ่ของพรรคนี้

เท่าที่เห็นบ่อยครั้งคือ การไม่ยอมรับกติกา อ้างว่าล้าหลังต้องแก้ไข

เลยไปถึงสปิริตทางการเมือง ที่ถูกบดบังเพราะอีโก้สูงเกินไป

ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ แข่งกันแสดงศักยภาพของตนเอง ผ่านงานในสภา แต่หลายคนกลับเจอกระแสย้อนกลับ

ไม่นับเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม การ “ปล่อยของ” หลายครั้งมักย้อนกลับเข้าหาตัว

แต่นั่นไม่สำคัญเท่า

สปิริตในระบอบประชาธิปไตย

ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ส่วนใหญ่น่าจะเติบโตในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองสูง ทำให้คนรุ่นนี้บางส่วนมีความอดทนต่อสิ่งรอบข้างค่อนข้างต่ำ

วันที่โหวตว่าจะเพิ่มหรือไม่เพิ่ม คณะกรรมาธิการสิทธิความหลากหลายทางเพศ พฤหัสบดีที่ผ่านมา

ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรตั้งมี ๓๖๕ เสียง

เห็นด้วย ๑๐๑ เสียง

งดออกเสียง ๑๓ เสียง

“ณัฐวุฒิ บัวประทุม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ไปทวีตข้อความว่า

                “พวกเราแพ้โหวตไม่สามารถตั้งคณะกรรมาธิการสิทธิความหลากหลายทางเพศฯ ในสภาผู้แทนฯ  ได้ ได้แต่เพียงไปต่อท้ายกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรีฯ #อนาคตใหม่ จะแถลงข่าว

                และแสดงข้อมูลให้เห็นว่ามี ส.ส.จากพรรคใด ร่วมโหวตสนับสนุนพวกเราและร่วมสนับสนุนประเด็นความหลากหลายทางเพศอย่างจริงใจบ้างครับ”

ในความหมายคือจะประจานว่า มีใครไม่ให้ความร่วมมือกับพรรคอนาคตใหม่บ้าง!

เมื่อดูเสียงโหวตพบว่า ฝ่ายค้านเสียงข้างมากร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลโหวตว่า ไม่ควรตั้งกรรมาธิการชุดนี้

นั่นเท่ากับว่า พรรคอนาคตใหม่ พร้อมที่จะประจาน พรรคเพื่อไทย!

หรือนี่คือการเมืองของคนรุ่นใหม่

ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะแทนที่จะจบในสภา กลับมีการสร้างวาทกรรมต่อเนื่องว่า พวก ส.ส.หัวเก่า ไม่เห็นความเท่าเทียมกันของมนุษย์

ละเมิดความเป็นคน!

ก่อนจะลุกลามไปกว่านี้ แกนนำพรรคอนาคตใหม่ ควรจะทำความเข้าใจกับประชาชนว่า…

การตั้งหรือไม่ตั้งคณะกรรมาธิการสิทธิความหลากหลายทางเพศ เป็นคนละเรื่องกับการเคารพความแตกต่างทางเพศ

รู้หรือเปล่าว่าสภาผู้แทนฯ ชุดนี้มีกรรมาธิการสามัญกี่คณะ

๓๕ คณะ

คณะละ ๑๗ คน

ถ้านับกรรมาธิการวิสามัญด้วยก็ร่วมร้อย

ปัญหาที่มีมาตลอดคือ ส.ส.ต้องวิ่งรอกประชุมกรรมาธิการ เพราะแต่ละคนเป็นหลายคณะ

หลายครั้งที่ประชุมสภาผู้แทนฯ โหรงเหรง เพราะ ส.ส.ติดประชุมกรรมาธิการ

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว

ยิ่งเพิ่มจำนวนกรรมาธิการไปเรื่อยๆ ปัญหาก็จะยิ่งตามมา

เรื่องของเพศที่สาม สี่ ห้า ไปรวมอยู่ในกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรีฯ ซึ่งเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เรื่องมีอยู่แค่นั้น

แต่กลับกลายเป็นว่า ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ไม่พอใจ และจะแฉว่ามีใครไม่เห็นด้วย

คำถามคือ นี่เป็นการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย

หรือ คั่งแค้นเพราะไม่ได้ตามใจอยาก.

ผักกาดหอม

Written By
More from pp
ไม่ได้หนักหัวใคร! #สันต์สะตอแมน
สันต์ สะตอแมน นึกว่าจะเป็นแต่นายทักษิณ ชินวัตร-สทร… นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ก็อีกคนที่ควรจะได้ตำแหน่ง “เสือกทุกเรื่อง” ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในเวลานี้! ดูอย่างกรณีพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์...
Read More
One reply on “รัฐบาลปริ่มน้ำ ฝ่ายค้านปริ่มขาดใจ”
  1. says: manoch sangvipasnapaporn

    นักการเมืองมองผลประโยชน์ตนเองก่อนประผลโยชน์ประเทศชาติเสมอ เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเรียนรู้และติดตามการทำหน้าที่ของนักการเมืองเหล่านั้นอย่าให้ใครมาหลอกได้อีกนักการเมืองที่แสวงหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด

Comments are closed.