ผักกาดหอม
ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ครับ…
เรื่องเงินบริจาค เงินมูลนิธิ และวัตถุประสงค์การตั้งมูลนิธิ
เพราะเงินทั้งหมดมาจากศรัทธาของประชาชน
บทบาท “กัน จอมพลัง” เป็นที่รับรู้ในวงกว้างของสังคมไทยว่า คือผู้ช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือประเทศ โดยใช้เงินทุนจากมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ที่มาจากเงินบริจาคของประชาชน
“กัน จอมพลัง” ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ จากคนบางกลุ่มโดยเฉพาะพรรคส้ม ว่ามีความเทาๆ เพราะสนิทชิดเชื้อกับ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” นักการเมืองที่ถูกวิจารณ์ถึงความเทามาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ยังรับราชการทหารอยู่
มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ยึดโยงกับ มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพราะข้อบังคับมูลนิธิ ข้อ ๓๙ ถ้ามูลนิธิล้ม ทรัพย์สินทั้งหมดที่เหลืออยู่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิ ธรรมนัส พรหมเผ่า
นี่จึงกลายเป็นจุดตายของ กัน จอมพลัง
มีความเข้าใจผิดมาอย่างต่อเนื่องว่า มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ เป็นของกัน จอมพลัง และเจ้าตัวเป็นประธานมูลนิธิ
ปรากฏว่าไม่ใช่
เป็นชื่อของ นางสาวกาญจนา สถาวร หรือ “อีฟ” แทน
แต่ก็เป็นไปตามการจดทะเบียนมูลนิธิตั้งแต่แรก
ในการแถลงข่าววานนี้ (๒๔ ตุลาคม) บางช่วงบางตอนมีการปฏิเสธข้อมูลที่เกี่ยวโยงไปถึง “ธรรมนัส พรหมเผ่า”
“…ยืนยันว่าทำมูลนิธิทำตามกฎหมาย และมูลนิธิทำตามปกติ ฉะนั้นเงินเข้ามูลนิธิ ไม่มีการโยกย้ายไปที่มูลนิธิธรรมนัส และตั้งแต่เปิดมูลนิธิมามีการโอนให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ กับมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก…”
“…ที่เกี่ยวโยงกับมูลนิธิธรรมนัส เพราะเคยร่วมตั้งโรงครัวด้วยกันในช่วงน้ำท่วม แต่มูลนิธิที่จะรับต่อไม่ได้รับแค่ทรัพย์สิน แต่ต้องรับหน้าที่และวัตถุประสงค์ต่อจากมูลนิธิกัน จอมพลังด้วย และที่เป็นมูลนิธิธรรมนัส เพราะขณะนั้นมูลนิธิกัน จอมพลัง ไม่ได้สนิทกับมูลนิธิอื่น…”
เรื่องพวกนี้ตรวจสอบได้ครับ ไม่ได้ยากเย็นอะไร
หากเส้นทางเงินเป็นไปอย่างที่มีการแถลงข่าวจริง ก็ไม่มีอะไรต้องตำหนิ
ต้องยกย่องสรรเสริญด้วยซ้ำ
กลับกันหากพบว่าเส้นทางเงินมีลักษณะของบัญชีม้า และการฟอกเงิน แบบนี้เอาไว้ไม่ได้ เพราะเท่ากับอาศัยศรัทธาประชาชนหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
ไม่ต่างจากสแกมเมอร์ในเขมร
มีโพสต์ของ “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” อธิบายให้เห็นถึงการยุบ เลิกมูลนิธิ แล้วเงินกับทรัพย์สินต้องไปที่ไหน
“…ถาม: พรรคก้าวไกลกับมูลนิธิคณะก้าวหน้าก็ต้องชี้แจงเช่นกัน
เนื่องจาก เงินและทรัพย์สินของพรรคก้าวไกลหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๐๒๕ ถูกโอนไปยัง ‘มูลนิธิคณะก้าวหน้า’
ตอบ: หลักการตรวจสอบต้องใช้มาตรฐานเดียวกันครับ
ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิของใคร ถ้าเกี่ยวข้องกับเงินบริจาคของประชาชน ก็ต้องสามารถตรวจสอบได้เท่ากันทั้งหมด
แต่กรณีของมูลนิธิคณะก้าวหน้า กับมูลนิธิกัน-ธรรมนัส ต่างกันใน ‘ฐานะทางกฎหมาย’
มูลนิธิคณะก้าวหน้า เป็นองค์กรจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ควบคุมมูลนิธิ มีกรรมการครบและอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง
ส่วนกรณีมูลนิธิกัน มีข้อสงสัยเรื่อง ‘ผู้ใช้นามมูลนิธิแต่ไม่มีรายชื่อเป็นกรรมการ’ และ ‘เงื่อนไขโอนทรัพย์สินไปยังมูลนิธิธรรมนัส’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่ต้องอธิบายให้โปร่งใส เพราะอาจเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน
ดังนั้น ถ้าเราพูดด้วยหลักการเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายควรถูกตรวจสอบในมาตรฐานเดียวกันครับ
ความดีจะยิ่งชัดเจน เมื่ออยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส
แต่อย่าลืมว่า มูลนิธิคณะก้าวหน้า มีกรรมการชุดเดียวกันบางส่วนกับอดีตพรรคก้าวไกล
ดังนั้น ผู้บริจาคให้พรรคก้าวไกลจำนวนมากอาจรู้สึกว่า เงินของพรรคหลังยุบถูกส่งต่อไปยังองค์กรที่มีเป้าหมายทางสังคมใกล้เคียงเดิมอยู่แล้ว ซึ่งอย่างน้อยก็อยู่ในกรอบที่พอเข้าใจได้
แต่กรณี ‘มูลนิธิกัน’ กับ ‘มูลนิธิธรรมนัส’ นั้นแตกต่าง เพราะผู้บริจาคของมูลนิธิกัน อาจไม่ได้มีเจตนาให้เงินหรือทรัพย์สินที่บริจาค ถูกส่งต่อไปยังองค์กรที่เชื่อมโยงโดยตรงกับนักการเมืองรายใดรายหนึ่ง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘ความถูกต้องตามกฎหมาย’ ต้องมาพร้อม ‘ความชอบธรรมทางสังคม’ เพราะมูลนิธิทุกแห่งดำรงอยู่ได้ด้วย ‘ศรัทธา’ ของผู้บริจาค
ในทางกฎหมาย ทั้งสองกรณีอาจไม่ต่างกันมาก แต่ในทาง ‘สังคม’ ต่างกันชัดเจน เพราะความชอบธรรมของมูลนิธิไม่ได้เกิดจากเอกสารจดทะเบียน แต่เกิดจาก ‘ความเชื่อใจของผู้บริจาค’…”
ไปดูข้อบังคับมูลนิธิคณะก้าวหน้า หมวดที่ ๑๑ การเลิกมูลนิธิ
ข้อ ๔๑ ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิ ที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิอื่นซึ่งมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน หรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ตาม
ลงนามโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานมูลนิธิ
ไม่ได้ระบุว่าเป็นมูลนิธิไหน แค่เขียนเอาไว้กว้างๆ เท่านั้น
ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มูลนิธิที่ทำการกุศลส่วนใหญ่จะระบุเอาไว้ชัด เพื่อป้องกันความสับสนในภายหลัง
เช่น มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด เขียนข้อบังคับเอาไว้ว่า ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
มูลนิธิโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการของมูลนิธิ หรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ มูลนิธิชัยพัฒนา
ถ้าความโปร่งใสคือบอกให้ครบบอกให้หมด มูลนิธิคณะก้าวหน้า ก็ควรแก้ข้อบังคับระบุลงไปให้ชัดเจนกว่านี้
โดยเฉพาะ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิทั้ง ๘ ข้อ
(๑) ส่งเสริมการศึกษา วิจัย ด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ
(๒) ส่งเสริมการแปลหนังสือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย
(๓) เผยแพร่ความรู้หรือผลงานการศึกษาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ ให้แพร่หลายแก่ประชาชน
(๔) ส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ดำเนินกิจกรรมค่ายศึกษาอบรมเกี่ยวกับการเสริมสร้างค่านิยมประชาธิปไตย
(๕) ส่งเสริมและให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ยากไร้
(๖) ส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์ ที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส
(๗) ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมการกีฬาทุกประเภท
(๘) เพื่อส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด
ที่บอกว่าต้องไปแก้ เพราะตัวบุคคลในมูลนิธิ กับพรรคก้าวไกล มันแยกกันไม่ออก ไปเป็นผู้ช่วยเลือกตั้งพรรคก้าวไกลกันทุกคน ไปล้างสมองนักเรียนในเรื่องการเมืองการปกครองกันทุกคน
ภาพรวมหนักว่ามูลนิธิกันจอมพลังนะครับ.

