ผักกาดหอม
สงสัยกันทั้งเมือง
จู่ๆ “แพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เป็นเพราะเหตุอะไร
วิจารณ์กันไปคนละทิศละทาง
ตระกูล “ชินวัตร” ถูกยึดอำนาจหรือเปล่า เพราะ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคบอกว่า ผู้ที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ไม่ใช่คนตระกูลชินวัตร
ก่อนอื่นไปดูเหตุผลการลาออกของ “แพทองธาร” ก่อน
“…เรียนเพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผู้สนับสนุนพรรค และพี่น้องประชาชนทุกคน
วันนี้ดิฉันตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้วยความตั้งใจว่าเป็นการเริ่มต้นยกเครื่องพรรคเพื่อไทย ตามที่ดิฉันประกาศไว้เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ กล้าหาญในการเปลี่ยนแปลง เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่สังคมโลกเปราะบาง ซับซ้อน อ่อนไหว คาดเดาได้ยาก ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ดังนั้นพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองหลักของประเทศ จึงจำเป็นต้องยกเครื่อง พลิกโฉม เปลี่ยนโครงสร้าง กระบวนการ และวิธีคิดใหม่ทั้งหมด
เพื่อให้พรรคสามารถชนะเลือกตั้ง
แล้วไปยกเครื่อง พลิกฟื้นประเทศไทยต่อไป
ดิฉันเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงพรรคเพื่อไทยต้องเริ่มต้นโดยเร็วที่สุด
ดิฉันจึงเลือกการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคยกเครื่องได้อย่างอิสระ และสร้างพรรคใหม่ที่สมบูรณ์แบบ
แม้ดิฉันลาออกในวันนี้
แต่ดิฉันยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
และจะร่วมกับพวกเราทุกคน สร้างพรรคเพื่อไทยยุคใหม่ ที่พร้อมจะยืนเคียงข้างประชาชน และทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติที่รักของเราทุกคน…”
ยกเครื่อง!
ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครับ
ยิ่งฟังเหตุผลจาก “สรวงศ์ เทียนทอง” รักษาการเลขาธิการพรรค ก็ยิ่งเข้าใจครับว่า พรรคเพื่อไทยต้องการปิดจุดอ่อนของตัวเอง
“…คุณแพทองธาร ถูกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งประเด็นจริยธรรม เพื่อไม่ให้เรื่องดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาขู่ สส.พรรคเรา ผู้สมัครของเราในการดึงตัวในอนาคตและรักษาพรรคไว้
เพราะมองว่าหากสามารถทำอะไรได้ที่เป็นการรักษาพรรคไว้ก็จะทำ จึงลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค พรรคจะประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย เพื่อสรรหาหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่โดยเร็ว…”
ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงมาจากรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่พรรคเพื่อไทยกระเหี้ยนกระหือรือจะแก้ไขอยู่นี่แหละครับ
แต่เดี๋ยวก่อน!
ไปดูข้อบังคับพรรคเพื่อไทย หมวด ๓ ว่าด้วยเรื่องสมาชิกพรรค กันก่อน
ส่วนที่ ๑ ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิก
ข้อ ๑๒ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้สมัครเข้าเป็นสมาชิก
๑๘) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หมายความว่าอย่างไร
“แพทองธาร” เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้เลยครับ
ต้องไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยต่อไป
เข้าใจดีครับว่า พรรคเพื่อไทยเกรงว่า หาก “แพทองธาร” ยังนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค วันข้างหน้าต้องเซ็นรับรองผู้สมัคร สส.ของพรรค วันนั้นอาจถูกร้องศาลหรือองค์กรอิสระว่าขัดกับกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายพรรคการเมืองได้
ลองนึกภาพตามผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยทุกคนเซ็นรับรองโดยบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นหัวหน้าพรรค
ฉิบหายครับ!
เป็นผู้สมัคร สส.เถื่อนทั้งหมด
แต่อย่างที่บอก มันไม่ได้จบแค่นั้น
ตัว “แพทองธาร” อาจเป็นได้แค่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพราะเป็นตำแหน่งนอกกฎหมาย ไม่ใช่ตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค
ฉะนั้นคลิปเสียง “อังเคิลวุ้นเส้น” มิได้ทำให้ “แพทองธาร” ไม่สามารถรับตำแหน่งฝ่ายบริหารเท่านั้น แต่อยู่ในพรรคเพื่อไทยในสถานะสมาชิกพรรคก็ไม่ได้
เป็นได้เพียง “คนนอก”
สรุปง่ายๆ “แพทองธาร” ไม่มีที่ยืนในพรรคเพื่อไทย จนกว่าจะมีการแก้ไขข้อบังคับพรรค
จะยกเครื่องก็ต้องตรวจสอบเครื่องให้แน่ชัดก่อนครับว่า อะไหล่ที่ใส่ไปนั้นถูกต้องตามสเปกหรือไม่
ใส่ผิดเครื่องพังครับ
อีกอย่างอย่าเพิ่งไปพูดเรื่องยกเครื่องประเทศ เอาพรรคเพื่อไทยให้รอดก่อน
การที่ “แพทองธาร” บอกว่าตัวเองยังเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ ก็เข้าใจได้ครับว่า เป็นการประกาศกลายๆ ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นพรรคของตระกูลชินวัตรอยู่
ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเฉพาะของ “แพทองธาร” ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” วางไว้ให้ก่อนการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖
เป็นตำแหน่งที่บอกถึงสถานะในพรรค
เป็นตำแหน่งเทียบเท่าหรือใหญ่กว่าหัวหน้าพรรค
และตั้งขึ้นมาเพื่อ แก้เกมยุบพรรคตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
แต่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยวันนี้ บทบาทต่างไปจากเดิม
เป็นตำแหน่งที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวที่จะเชื่อมโยงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย ยังคงถูกครอบงำโดยตระกูลชินวัตร
อีกมุมหนึ่งถือเป็นความเปราะบาง หากการยกเครื่องพรรคเพื่อไทย เป็นความกล้าหาญที่จะ พลิกโฉม เปลี่ยนโครงสร้าง กระบวนการ และวิธีคิดใหม่ทั้งหมด
เพราะจะเป็นจุดสิ้นสุดของตระกูลชินวัตรในพรรคเพื่อไทย.
